วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สิ้นราชวงศ์ฉิน




ฉินซือหวองตี้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 10 กันยายน 210 ก่อน ค.ศ. ในสถานที่ห่างไกลจากเมืองหลวง พระองค์ทรงมีราชโองการให้องค์ชายฝูซูเป็นรัชทายาท และทรงแต่งตั้งแม่ทัพเหมิงเถียนให้เป็นแม่ทัพใหญ่ แต่สมุหนายก หลี่ซือ และขันทีจ้าวเกาปกปิดเรื่องไว้ และปลอมแปลงราชโองการ ให้องค์ชายหูไห่เป็นรัชทายาทแทน และให้องค์ชายฝูซูและแม่ทัพเหมิงเถียนฆ่าตัวตาย

องค์ชายหูไห่ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากฉินซือหวองตี้ มีพระนามว่า ฉินเอ้อซื่อหวองตี้ แต่หวองตี้พระองค์นี้ทรงมีคุณสมบัติที่ตรงข้ามกับพระราชบิดาทุกประการ ที่สำคุญที่สุดก็คืออ่อนแอและโง่เขลา อยู่ภายใต้อิทธิพลของจ้าวเกามาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ทั้งในฐานะครูสอนหนังสือและพี่เลี้ยง จึงเป็นหุ่นให้จ้าวเกาปั้นเล่นตามอำเภอใจ ผลก็คือ เจ้าราชวงศ์ฉินและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่จ้าวเกาไม่ไว้วางใจ ถูกประหารชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ประกอบกับจ้าวเกาเป็นคนไม่เคยมีความเข้าใจในเหตุผล และความละโมบนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ตั้งหน้าแต่จะกอบโกยให้มากยิ่งๆขึ้นไป สมุหนายกหลี่ซือถูกประหารชีวิตด้วยน้ำมือของจ้าวเกา และจ้าวเกาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงค์ตำแหน่งสมุหนายกแทน จ้าวเกาปลงพระชนฉินเอ้อซื่อฮ่องเต้ แล้วยกองค์ชายจื่ออิงบุตรขององค์ชายฝูซูโอรสองค์แรกของฉินซือหวองตี้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน กษัตริย์จื่ออิงรู้ดีว่าจ้าวเกาชั่วช้าและเป็นอันตรายร้ายแรงจึงสั่งประหารชีวิต

ความเดือดร้อนของประชาชนพลเมืองอันเนื่องมาจากการเกณฑ์แรงงานจำนวนมากๆ และความอ่อนแอเหลวแหลกภายในราชสำนัก ส่งผลให้เกิดกบฎชาวนาขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีน  กษัตริย์จื่ออิงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ฉิน ครองราชย์ได้เพียง 6 วันก็ถูกกองทัพกบฎชาวนาภายใต้การนำทัพของเล่าปังและเซี่ยงหยี่โจมตี เนื่องจากเล่าปังเป็นผู้นำที่โอบอ้อมอารีไม่ให้ทหารกดขี่ข่มเหงราษฎร และเมื่องทหารหลวงยอมแพ้แล้วก็ไม่ฆ่า สนใจในทุกข์สุขของประชาชนตามเมืองต่างๆที่ยึดได้ การยกทัพไปพิชิตเสียนหยางของเล่าปัง จึงแตกต่างไปจากเซี่ยงหยี่ เพราะไม่ต้องสู้รบกับทหารหลวงเลย ตามด่านและเมืองต่างๆ ทหารหลวงและชาวเมืองล้วนพากันมาอ่อนน้อมแต่โดยดี

ในปีที่ 206 ก่อน ค.ศ. จึงนับเป็นปีแรกของราชวงศ์ฮั่น เล่าปังครองราชย์ในฐานะปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่นมีพระนามว่า ฮั่นเกาตี้ และหลังจากฮ่องเต้ฮั่นเกาตี้สิ้นพระชนแล้ว ฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นในภายหลัง ก็ได้ถวายพระนามในฐานะฮ่องเต้พระองค์แรกของราชวงศ์ฮั่นว่า ฮั่นเกาจู่

ผลงานของฉินซือหวองตี้ 4




พระราชวังเอ่อผังกง จากโครการมหาโครงการที่ฉินซือหวองตี้ทรงมีบัญชาให้เกณฑ์แรงงานผู้คนมาสร้างขึ้นซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องใช้คนเป็นจำนวนแสนๆทั้งสิ้น มหาโครงการหลังสุดคือพระราชวังเอ่อผังกงที่สร้างขึ้นหลังจากได้ตัดถนนจากจิวหยางถึงหยุนหยางเมื่อปีที่ 212 ก่อน ค.ศ. เนื่องจากทรงเห็นว่า พระราชวังเดิมเล็กไปเสียแล้ว ความใหญ่โตมโหฬารของพระราชวังใหม่นี้มีความยาวถึง 300 ลี้ แต่ภายหลังได้ถูกฉ้อปาอ๋องเสี่ยงหยี่เผาทำลายเมื่อตอนก่อกบฐ โดยที่ฉ้อปาอ๋องเสี่ยงหยี่ต้องใช้เวลาเผาถึง 3 เดือนถึงจะสามารถเผาพระราชวังเอ่อผังกงได้หมด


นอกจากมหาโครงการใหญ่ๆ แล้ว ฉินซือหวองตี้ยังทรงมีบัญชาให้ก่อสร้างถนนหน้ากว้าง 15 เมตรทั่วประเทศ โดยที่มีคำกล่าวไว้ในประวัติศาสตร์ว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่เสียนหยาง” คล้ายๆกับที่หลายคนเคยได้ยินจากประวัติศาสตร์โรมันว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม” นอกจากถนนแล้ว ในปัจจุบันยังมีการขุดข้นพบทางด่วนในสมัยฉินซือหวองตี้ โดยที่ทางด่วนนั้นมีมาตราฐานในการก่อสร้างสูงมากๆ เมื่อเทียบกับในปัจจุบัน โดยเทียบเท่ากับทางด่วนระดับที่ 2 (แม้จะไม่ดีเทียบเท่ากับทางด่วนที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ดีเพียงพอสำหรับรถสามารถวิ่งได้เร็ว) นอกจากนี้ระยะทางของทางด่วนยังมีระทางถึง 700 กิโลเมตร โดยที่วัตถุประสงค์ของการก่อสร้างทางด่วนนี้สันนิษญานว่าเอาไว้ใช้สำหรับการออกเสด็จไปยังเมืองต่างๆของจักรพรรดิโดยที่ไม่ต้องใช้ถนนร่วมกับประชาชน ซึ่งหากนึกย้อนไปถึง 2,000 ปีแล้ว ทางด่วนนี้คงจะทันสมัยที่สุดในโลกเลยทีเดียวและคงมีผู้เดียวในโลกที่สามารถใช้ได้นั่นก็คือพระจักรพรรดิฉินซือหวองตี้ 

ผลงานของฉินซือหวองตี้ 3




กำแพงหมื่นลี้ ในสมัยจ้านกว๋อ ประชาชนที่เร่ร่อนอยู่ตามที่ราบกว้างใหญ่ทางเหนือที่ยังชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์ ที่ชาวจีนเรียกว่าซ่งหนู ช่ำชองในการรบบนหลังม้า มักยกกำลังกันมารุกรานปล้นสะดมทางพรมแดนด้านเหนือของรัฐฉิน จ้าวและเอี้ยนซึ่งทำให้รัฐเหล่านี้ ต้องสูญเสียชีวิตผู้คนและทรัพย์สินอยู่เสมอ เจ้าผู้ครองรัฐฉิน, จ้าวและเอี้ยนจึงได้สร้างกำแพงขึ้นตามบริเวณชายแดนของรัฐตนเพื่อเป็นปราการป้องกันการรุกรานของพวกซ่งหนู หลังจากรวบรวมรัฐต่างๆเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันแล้ว ฉินซือหวองตี้จึงได้สร้างกำแพงเชื่อมต่อระหว่างรัฐทั้งสาม แล้วขยายออกไปทั้งทางตะวันตกและตะวันออก จากหลินเตา (หมินเสี้ยนในมณฑลกานสูปัจจุบัน) จนถึงเหลียวตงทางตะวันออกเป็นระยะทางราว 6,350 กิโลเมตร เรียกกันว่า “ฟ่านหลี่ฉางเฉิง” หรือกำแพงหมื่นลี้ ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของโลก กำแพงนี้แม่ทัพเหมิงเถียนเป็นผู้รับบัญชาสร้างขึ้นเมื่อปีที่ 214 ก่อน ค.ศ. หลังจากได้ยกกำลังทหาร 300,000 คนไปปราบปรามพวกซ่งหนูจนประสบชัยชนะเมื่อปีที่ 215 ก่อน ค.ศ.

การสร้างกำแพงหมื่นลี้นี้ต้องสิ้นเปลืองชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก ประมาณว่า คนงานที่ถูกเกณฑ์และพวกนักโทษที่ลงแรงสร้างกำแพงโดยถูกบังคับมีทั้งสิ้นราว 300,000 คน ความทุรกันดารของภูมิประเทศและการก่อสร้างในสมัยเมื่อสองพันกว่าปีก่อนที่ต้องใช้แต่กำลังคนถมลงไป ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จนชาวจีนสมัยนั้นพูดกันแต่ว่า คนตายเพราะสร้างกำแพงหมื่นลี้มีจำนวนเป็นล้าน ความจริง กำแพงนี้ ถ้ามีกำลังทหารประจำการอยู่ครบถ้วนตามช่วงระยะของกำแพงก็นับว่า เป็นปราการที่ใช้ได้ผลในการป้องกันการรุกรานของพวกซ่งหนูในสมัยโบราณ หากแต่ระยะทางที่ยาวไกลจนทำให้ไม่อาจใช้กำลังทหารประจำการได้ครบตามช่วงระยะที่ได้สร้างไว้บนกำแพงเพราะต้องสิ้นเปลืองกำลังคนเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่า กำแพงหมื่นลี้จะมีส่วนป้องกันการรุกรานของพวกซ่งหนูตลอดจนชนเผ่าเร่ร่อนอื่นๆทางเหนือในอนาคต ผลที่ได้แน่ๆก็คือ เป็นการแบ่งเขตแดนระหว่างประชากรที่ประกอบการเกษตรชาวจีนกับชีวิตพวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ออกจากกัน

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ผลงานของฉินซือหวองตี้ 2


มหาโครงการ


มหาสุสานจักรพรรดิ (Tomb of the Dragon Emperor) ตั้งอยู่ที่ตำบลหลินถง ห่างจากเมืองซีอาน มณฑลฉ่านซีประเทศจีน สุสานฉินซือหวองตี้ได้ถูกค้นพบโดยบังเอิญเมื่อ 29 มีนาคม พ.ศ. 2517 โดยชาวนาในหมู่บ้านซีหยาง ชื่อ หยางจื้อฟา ในขณะที่ขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำ บริเวณเชิงเขาหลีซาน ห่างจากตัวเมืองซีอาน ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 35 กม. โดยในระหว่างที่ขุดนั้น ก็บังเอิญพบกับซากของทหารดินเผา ที่ทราบภายหลังว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปี ปัจจุบันรัฐบาลจีนขุดค้นพบวัตถุโบราณที่เป็นกองทัพทหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึก จำนวนทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ภายในบริเวณพื้นที่หลุมสุสานกว่า 25,000 ตร.ม. มีการคาดคะเนว่าอาณาเขตของสุสานฉินซือหวองตี้จะมีพื้นที่มากกว่า 2,180  ตร.กม. สุสานฉินซือหวองตี้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในป พ.ศ. 2530 แต่จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ ระบุว่าสุสานแห่งนี้อัครมหาเสนาบดีหลี่ซือเป็นผู้วางแปลนการก่อสร้าง โดยที่พื้นที่ของสุสานจากทิศเหนือจรดทิศใต้ยาว 9,000 ฟุต จากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกยาว 3,600 ฟุต รวมพื้นที่เท่ากับ 32,400,000 ตารางฟุตส่วนพื้นที่ภายในวังจากทิศเหนือจรดทิศใต้ยาว 1,800 ฟุต จากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกยาว 200 ฟุต รวมพื้นที่เท่ากับ 360,000 ตารางฟุต ส่วนพระราชวังจะลึกลงไปใต้ดิน 300 ฟุต ฉินซือหวองตี้ไม่ประสงค์ให้พระราชวังมีบรรยากาศแห่งความตายแต่ประสงค์ให้ภายในมีความเอิกเกริกเหมือนโลกจริงๆ ภายสุสานจึงมีหุ่นทองสำริด ทหารองครักษ์รูปปั้นดินเผาสร้างจากทหารจริงขององค์พระจักรพรรดิโดยที่พระองค์ทรงมีบัญชาสร้างให้คนละหนึ่งตัว โดยที่จะต้องสร้างให้เหมือนรูปพรรณสันฐานจริงทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ส่วนสูง น้ำหนัก อาวุธ ชุดเกราะ รถม้า รวมถึงยศทางทหาร (โครงการการสร้างทหารองครักษ์รูปปั้นดินเผานี้ ยิ่งใหญ่มากถึงขนาดต้องใช้ช่างปั้นดินเผาทั้งหมดที่มีอยู่ในแผ่นดิน) แม่น้ำสามสาย ภายในพระราชวังสุสานจะจัดวางตามแผนที่ของประเทศ มีเก้ามณฑล มีภูเขา สายน้ำ ธารน้ำ สีเขียวที่ไหล มีต้นสนที่สลักจากหยก ในแม่น้ำจะมีสีน้ำเงินและไหลตลอดเวลา ส่วนเพดานของสุสานจัดตามดาราศาสตร์อย่างละเอียด โดยใช้มุกมาแทนดวงดาว พระจันทร์ และพระอาทิตย์ สว่างโดยไม่ดับ ใช้ทองมาหล่อเป็นนก ดูเหมือนมีชีวิต 

จากพระประสงค์ของฉินซือหวองตี้ทำให้เกิดการใช้แรงคนงานอย่างมหาศาลโดยที่จำนวนคนงานที่ถูกเกณฑ์มาสร้างมีจำนวนถึง 700,000 คนนับว่ามากกว่าจำนวนคนที่ถูกเกณฑ์มาสร้างกำแพงหมื่นลี้ถึงกว่าเท่าตัว จากการขุดค้นพบรูปปั้นดินเผา (terracotta) ทหารองครักษ์ของฉินซือหวองตี้จำนวน 6,000 ที่เคยเป็นข่าวไปทั่วโลกเมื่อปี ค.ศ. 1974 ตรงบริเวณเนินดินด้านนอกของที่ฝังพระศพฉินซือหวองตี้ซึ่งใหญ่กว่าตัวจริงเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่ามหาสุสานของฉินซือหวองตี้ใหญ่โตมโหฬารเพียงไร และต้องสิ้นเปลืองแรงงานผู้คนมากเพียงไรด้วย ประมาณว่า ผลิตผลที่ชาวนาเก็บเกี่ยวถึงสองในสามต้องถูกเก็บเป็นภาษีของรัฐ พลเมืองอาณาจักรฉินสมัยนั้นมีประมาณ 20 ล้าน ต้องถูกเกณฑ์ไปทำงานตามโครงการราว 1,500,000 คน ยังผลให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานผู้ชายในการทำไร่ไถนา จนถึงต้องอาศัยแรงงานผู้หญิงในการทำไร่ไถนาแทนผู้ชาย แล้วมิหนำซ้ำผู้หญิงยังต้องทำงานที่ผู้ชายเองยังถือว่าเป็นงานหนักคือการขนส่งข้าวอีกด้วย ยิ่งกว่านี้กฎหมายอาญาสมัยรัฐฉินก็ยังวางบทกำหนดโทษผู้กระทำผิดหนักมาก เนื่องจากถ้ามีผู้กระทำผิดเพียงคนเดียว ก็ต้องถูกลงโทษทั้งครอบครัว ยิ่งฉินซือหวองตี้มีโครงการมหาโครงการมากขึ้นเพียงไร ประชาชนพลเมืองก็ยิ่งมีความเดือดร้อนกันมากขึ้นเพียงนั้น และก็เป็นที่ยอมรับกันด้วยว่า ไม่มีใครในอาณาจักรแม้แต่สักคนที่จะกล้าทูลทัดทานหรือคัดค้าน อย่าว่าแต่ขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดเลย แม้แต่พระราชโอรสในตำแหน่งรัชทายาทก็ยังทูลทัดทานไม่ได้อย่างในกรณีที่ฉินซือหวองตี้ลงโทษนักศึกษาปัญญาชนที่วิพากษ์วิจารณ์พระองค์นั้น องค์ชายฝูซูรัชทายาทไม่เห็นด้วยและก็ทูลคัดค้าน ผลปรากฏว่า ฉินซือหวองตี้กริ้วถึงกับรับสั่งให้เนรเทศองค์รัชทายาทไป “ช่วย” แม่ทัพเหมิงเถียนสร้างกำแพงหมื่นลี้เสียเลย

ผลงานของฉินซือหวองตี้ 1




ภายหลังจากที่ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งสามารถรวบรวมประเทศได้แล้ว จึงได้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็น “ฉินซือหวองตี้” โดยการที่เปลี่ยนจากคำว่า “อ๋อง” มาเป็นคำว่า “หวองตี้” นั้น เกิดจากการที่พระองค์ทรงไว้ซึ่งคุณงามความดีใหญ่ยิ่งกว่ากษัตริย์องค์ใดในอดีตกาล และการรวมประเทศนี้เป็นการรวมกันอย่างชนิดที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน พระองค์จึงทรงเห็นว่า ตำแหน่งกษัตริย์ที่พระองค์ดำรงค์อยู่นั้น เล็กน้อยไปเสียแล้วสำหรับพระองค์ โดยที่พระองค์มีพระบัญชาให้เหล่าขุนนางพยามยามสรรหาชื่อเรียกพระองค์ให้ใหม่ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอพระทัย จนกระทั่งพระองค์คิดขึ้นมาเองเป็นคำว่า “ฉินซือหวองตี้” โดยที่แต่ละคำนั้นมีความหมายในตัวของมันเอง เริ่มตั้งแต่คำว่า “ฉิน” หรือที่คนไทยเรียกเพี้ยนว่า “จิ๋น” นั้นมีความหมายเป็นชื่อของราชวงศ์รวมทั้งเป็นชื่อของแผ่นดิน ส่วนคำว่า “ซือ” หรือที่คนไทยเรียกเพี้ยนว่า “ซี” นั้นมีความหมายว่า การเริ่มต้น ถัดมา เป็นคำว่า “หวองตี้” หรือคนไทยเรียกเพี้ยนไปเป็นคำว่า “ฮ่องเต้” เป็นการนำเอาคำเรียกสามกษัตริย์ผู้ใหญ่ยิ่งของบุพกาลคือ “ซานหวอง” (สามกษัตริย์) ได้แก่ เทียนหวอง (กษัตริย์สววค์) ตี้หวอง (กษัตริย์พิภพ) และเหรินหวอง (กษัตริย์มนุษย์) กับคำว่า “อู่ตี้” (ห้าจักรพรรดิ) ได้แก่ หวองตี้, จวนซวี่, ตี้คู่, เหยา และ ซุ่น ซึ่งจักรพรรดิทั้งห้าเป็นแบบฉบับของกษัตริย์ที่ทรงคุณงามความดีในอดีตเป็นที่ยกย่องกัน โดยทรงรวมคำว่า “หวอง” กับ “ตี้” เข้าด้วยกันเป็น “หวองตี้” แปลเป็นไทยพอจะเรียกได้ว่า “จักรพัตราธิราช” (ในที่นี้จะเรียกจักรพรรดิตามที่คนไทยเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ทำนองเดียวกับคำว่า “หวองตี้” ตามสำเนียงฟุเจี้ยนซึ่งแปลเป็นอังกฤษว่า Emperor) 

สาเหตุของการเรียกชื่อที่เพี้ยนไปนั้นสันนิษฐานว่า เกิดจากการที่คนจีนที่อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นคนจีนแต้จิ๋ว ซึ่งภาษาพื้นบ้านจะเรียกเพี้ยนไปจากภาษาจีนกลาง จากชื่อ “ฉินซือหวองตี้” จึงเรียกเพี้ยนไปเป็น “จิ๋นซีฮ่องเต้” ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์คนเดียวกัน ซึ่งการเรียกชื่อเพี้ยนไปนั้นไม่ได้เป็นการทำผิดแต่ประการใด เป็นเพียงแค่ความแตกต่างกันในด้านของภาษาเท่านั้น


การปฏิรูประบอบการปกครอง


ฉินซือหวองตี้ทรงยึดหลักปรัชญาการเมืองและการปกครองของหันเฟยจื่อ (หันเฟยจื่อและหลี่ซือ เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน โดยที่ทั้งสองคนได้เรียนหนังสือกับสวินจื่อ ซึ่งสวินจื่อก็เป็นศิษย์ของขงจื่อ หรือที่เรียกกันว่า “บัณฑิตหยู”) โดยที่หลักปรัชญาการเมืองของหันเฟยจื่อเรียกร้องให้กษัตริย์ทรงอำนาจสิทธิ์ขาด และนโยบายพัฒนาประเทศก็ถือหลักสร้างความมั่นคั่งทางเกษตรกรรมและความเข้มแข็งของทหาร อันเป็นนโยบายที่ผู้ปกครองแคว้นฉินทุกพระองค์พยายามดำเนินสืบต่อกันมาจนมาถึงฉินซือหวองตี้ และพระองค์ก็ทรงเห็นด้วยและนำมาปฏิบัติอย่างแข่งขันโดยตลอด ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อรวมอาณาจักรได้แล้วและฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งก็ทรงใช้คำว่า “หวองตี้” สำหรับพระองค์แล้ว เมื่อมาถึงระบบอบการปกครอง ก็ปรากฎว่า เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันในอันที่จะหวนกลับไปใช้ระบอบการปกครองของกษัตริย์ต้นราชวงศ์โจว โดยแต่งตั้งโอรส อนุชาและสมาชิกราชตระกูล ให้ออกไป “กินเมือง” อย่างในสมัยศักดินาของต้นราชวงศ์โจว กล่าวคือ โอรส อนุชาและสมาชิกราชตระกูลแต่ละพระองค์ ล้วนได้ไปมีอำนาจครอบครองที่ดินที่พระจักรพรรดิพระราชทาน เท่ากับเป็นอาณาจักรของตนที่เรียกว่า “ฟงกั๋ว” แต่ทั้งหมดนี้มีหลี่ซือขุนนางตำแหน่งเสนาบดีว่าการยุติธรรมผู้เดียวคัดค้าน โดยให้เหตุผลที่ว่า ถ้าแบ่งแยกอาณาจักรออกเป็นเขตแคว้นให้มีการแบ่งแยกการปกครองเช่นราชวงศ์โจวต่อไป เจ้าผู้ครองเขตแดนศักดินาก็จะเกิดการสู้รบกันเอง และตามที่เคยเป็นมา ภายหลังกษัตริย์ราชวงศ์โจวเองก็ไม่มีอำนาจอันใดที่จะไปห้ามปรามด้วย

ฉินซือหวองตี้ทรงเห็นชอบด้วยกับการรวมอำนาจไว้ส่วนกลาง กล่าวคือ ศูนย์กลางของการใช้อำนาจอยู่ที่องค์จักรพรรดิหรือฉินซือหวองตี้แต่ผู้เดียว ซึ่งโดยหลักการก็คือ รวมศูนย์อำนาจการปกครองระบอบอัตตาธิปไตยของจักรพรรดิ (Centralization) ขุนนางผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ทหารและพลเรือนตลอดจนผู้ตรวจการ ล้วนแต่งตั้งและถอดถอนโดยองค์จักรพรรดิ ผู้ทรงอำนาจสูงสุด มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทรงไว้วางพระทัยช่วยเหลือในการบังคับบัญชา และถวายความคิดเห็นเป็นลำดับลดหลั่นกันลงไป ที่สำคัญที่สุดได้แก่ “เฉิงเซี่ยง” ซึ่งพอจะเรียกเป็นไทยว่า “สมุหนายก” ช่วยเหลือองค์จักรพรรดิในการบริหารทั่วทั้งอาณาจักร “ไทเว่ย” หรือสมุหกลาโหม รับผิดชอบในการทหารทั้งหมด “ยูสื่อ” ผู้ตรวจราชการ ที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลขุนนางทุกชั้นทุกตำแหน่งตามลำดับ ฉินซือหวองตี้ทรงเห็นชอบความคิดของหลี่ซือ ที่เสนอให้มีกลไกการปกครองเป็นรูปพีรามิด โดยมีองค์จักรพรรดิอยู่สูงสุด แล้วจึงมีขุนนางใหญ่น้อยมียศศักดิ์และตำแหน่งต่างๆลดหลั่นกันลงมา ซึ่งเท่ากับว่าได้เป็นการสลายระบอบการปกครองแบบกระจายอำนาจ (Decentralization) ซึ่งเป็นการทำลายระบอบการปกครองของแต่ละรัฐที่เคยมีมาเดิมของกษัตริย์ราชวงศ์โจวตั้งแต่ต้นจนอวสาน ยิ่งกว่านี้ ตำแหน่งขุนนางที่รับราชการภายในดินแดนศักดินาแต่ละแห่ง ที่ล้วนเคยเป็นโดยสืบตระกูลกันมาก็เป็นอันยกเลิกหมด องค์จักรพรรดิทรงเป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนแต่ผู้เดียว และขุนนางที่ทำหน้าที่ปกครองแว่นแคว้น, เขต, อำเภอ ก็ต้องรับคำสั่งจากส่วนกลางหรือรัฐบาลกลางโดยตรงด้วย

เพื่อให้การปกครองทั่วทั้งอาณาจักรได้ดำเนินไปโดยมีประสิทธิภาพ ฉินซือหวองตี้จึงได้มีพระบรมราชโองการกำหนดให้ทั่วทั้งอาณาจักรใช้ภาษาหนังสือ, มาตราชั่ง ตวง วัด และเพลาล้อเกวียนเป็นมาตรฐานอย่างเดียวกันทั้งหมด เพราะก่อนหน้านี้ ต่างรัฐต่างใช้ของตน เฉพาะภาษาหนังสือคือตัวอักษรจีนนี้ การใช้พระบรมราชโองการ (ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคือกฎหมายนั่นเอง) กาลเวลาล่วงมาจนถึงปัจจุบันก็ได้พิสูจน์ว่า เป็นคุณูปการใหญ่หลวงในการผูกพันคนจีนเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในท้องที่ใดๆ โดยที่สำเนียงพูดของคนจีนแตกต่างกันมากมาย เนื่องจากอาณาจักรมีเนื้อที่กว้างขวาง ผู้คนแต่ละท้องที่พูดสำเนียงแตกต่างกันเหมือนกับชาวต่างประเทศ แต่ก็สามารถสื่อความหมายโดยทำความเข้าใจกันได้ โดยใช้หนังสือที่เป็นมาตรฐานเดียวกันนี้ การใช้มาตราชั่ง ตวง วัด ที่เป็นมาตราฐานเดียวกัน ย่อมเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงในทางค้าขาย เพราะทำให้สินค้าได้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันโดยสะดวก โดยเฉพาะการใช้สื่อของการแลกเปลี่ยนอย่างเดียวกัน ซึ่งก็คือกำหนดให้ใช้เหรียญทองแดงวงกลมแบนเจาะรูสี่เหลี่ยมตรงกลาง เพื่อความสะดวกเวลาร้อยเป็นพวงเป็นจำนวนต่างๆ (วงกลมนั้นหมายถึงสวรรค์ ส่วนสี่เหลี่ยมนั้นหมายถึงโลกมนุษย์ซึ่งจะต้องมีขอบเขตในการปกครองบริหาร แต่ละคนมีหน้าที่ของตนเอง ต้องรู้จักทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ เป็นไปตามหลักฮวงจุ้ย ฉินซือหวองตี้ทรงยึดหลักฮวงจุ้ยในการบริหารบ้านเมืองและการวางผังเมืองด้วย ซึ่งถือได้ว่าหลักฮวงจุ้ยนั้นได้เริ่มต้นใช้กันอย่างเป็นทางการและแพร่หลายในยุคสมัยของ ฉินซือหวองตี้ สมเด็จพระจักรพรรดิผู้นี้นี่เอง)

มาตรการที่ใช้ปราบปรามปรปักษ์ทางการเมืองที่เป็นศัตรูต่อจักรพรรดิฉินสื่อหวองตี้โดยเฉพาะก็ได้แก่การที่ทรงมีบัญชาให้นำเอาอาวุธทั้งหมด (ภายนอกกองทัพของพระองค์) มาไว้ที่เสียนหยางจากบรรดาคลังอาวุธของรัฐต่างๆในอดีต แล้วหลอมขึ้นเป็นระฆังสัมฤทธิ์และรูปปั้นหน้ามนุษย์ขนาดมหึมาถึง 12 รูปด้วยกัน โดยประดิษฐานไว้ ณ พระราชวังหลวง รูปปั้นสัมฤทธิ์นี้ แต่ละรูปปั้นมีน้ำหนักถึง 240,000 ชั่ง (หนึ่งชั่งมีน้ำหนักประมาณ 600 กรัม) เพื่อกำจัด “ผู้ที่ไม่น่าไว้วางใจ” ซึ่งได้แก่เจ้าขุนมูลนายที่มีฐานะมั่งคั่งของรัฐเก่าๆทั้งหลาย จึงได้มีบัญชาให้ครอบครัวของผู้มีฐานะเหนือคนธรรมดาเหล่านี้อพยพเข้ามาอยู่ในเสียนหยาง (เมืองหลวง) จากทั่วทั้งอาณาจักรมีจำนวนทั้งสิ้นถึง 120,000 ครัวเรือน

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ประวัติการรวมแผ่นดินจีน 2

ตอนที่แล้ว สยบไปแล้ว 3 แคว้น เหลืออีก 3 แคว้น ก็จะมีประเทศจีนแล้วครับ ติดตามได้เลยครับ

ในปีที่ 223 ก่อน ค.ศ. ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งทรงมีบัญชาให้แม่ทัพอิ๋งเฉิงเป็นผู้บัญชาการ แม่ทัพหวังเปินเป็นรองผู้บัญชาการ นำทหาร 10,000 คน ไปตะวันออกเพื่อทำลายแคว้นเว่ย เพราะแคว้นเว่ยเป็นหนึ่งในสองแคว้นที่ติดกับแคว้นฉินและฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งใช้ยุทธวิธีผูกมิตรแคว้นไกลทำลายแคว้นใกล้ ประกอบกับแคว้นเว่ยเป็นแคว้นที่เล็กมาก ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งคิดจะทำลายตอนไหนก็ได้ เมื่อกองทัพแคว้นฉินล้อมเมืองต้าเหลียงที่แม่น้ำหวงหนาน เมืองหลวงของแคว้นเว่ยนาน 3 เดือน ทำให้ในเมืองต้าเหลียงหมดเสบียงอาหาร ทหารและประชาชนถึงกับต้องกินรากไม้เปลือกไม้แทนอาหาร แคว้นฉินจึงสามารถล่มสลายแคว้นเว่ยได้สำเร็จ รวมแคว้นเว่ยเข้าเป็นเขตหนึ่งของแคว้นฉิน

บุกแคว้นฉู่ครั้งแรก แม่ทัพใหญ่หวังเจี้ยนผู้ชำนาญการทำสงคราม รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง แห่งแคว้นฉิน ขอกำลังทหาร 600,000 คน เพื่อบุกไปสยบแคว้นฉู่ เนื่องจากแคว้นฉู่เป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดและมีกองกำลังทางการทหารที่เข้มแข็งที่สุด แต่ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งไม่ทรงเชื่อ จึงทรงมีบัญชาให้แม่ทัพหลี่ซิ่นเป็นผู้บัญชาการ รองแม่ทัพใหญ่เหมิงเถียนเป็นรองผู้บัญชาการ นำทหาร 200,000 คน มุ่งลงสู่ภาคใต้เพื่อทำลายแคว้นฉู่ เนื่องจากแคว้นฉู่มีกำลังทางทหารที่เข้มแข็งมาก ผลคือทหารทั้ง 200,000 คน ตายหมด แม่ทัพหลี่ซิ่นถูกตัดหัวและส่งกลับให้ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้ง

แคว้นฉินไม่เคยผ่ายแพ้ย่อยยับขนาดนี้เลย นับเป็นความพ่ายแพ้ที่ใหญ่หลวงและอัปยศที่สุด และยังนับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดของฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งในฐานะผู้นำของแคว้นฉินที่ไม่ทรงเชื่อแม่ทัพใหญ่หวังเจี้ยน ผู้ที่มีประสบการณ์การทำศึกมากที่สุดในบรรดาเหล่าแม่ทัพทั้งหมดของแคว้นฉิน แต่กลับให้แม่ทัพหนุ่ม หลี่ซิ่นผู้ที่ประสบการณ์น้อยกว่ามากนำทัพแทน


ในปีที่ 222 ก่อน ค.ศ. ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งตัดสินใจว่าการยกทัพไปแคว้นฉู่ครั้งที่ 2 นี้ คนที่จะบัญชาการรบต้องเป็นแม่ทัพใหญ่หวังเจี้ยนคนเดียวเท่านั้น จึงมีบัญชาให้แม่ทัพใหญ่หวังเจี้ยนเป็นผู้บัญชาการ นำทหาร 600,000 คน บุกแคว้นฉู่ โดยให้แม่ทัพหวังเปิน ลูกชายของแม่ทัพใหญ่หวังเจี้ยน เป็นรองผู้บัญชาการนำทัพหน้า มุ่งสู่เจียงหนานเพื่อล่มสลายแคว้นฉู่ กองทัพฉินได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการนำทัพของแม่ทัพใหญ่ผู้ช่ำชองพิชัยสงครามและถือเป็นการนำทัพทำศึกครั้งสุดท้ายของแม่ทัพใหญ่หวังเจี้ยน แคว้นฉินสามารถรวมแคว้นฉู่ซึ่งเป็นแคว้นที่มีกองทัพที่เข้มแข็งที่สุดไว้ได้เป็นเขตหนึ่งของแคว้นฉิน คงเหลือแคว้นฉีอีกเพียง 1 แคว้นเท่านั้น การรวมประเทศก็จะสำเร็จ


ในปีที่ 221 ก่อน ค.ศ. ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งมีบัญชาให้แม่ทัพอิ๋งเฉิงเป็นผู้บัญชาการ แม่ทัพหลี่ฮั่นเป็นรองผู้บัญชาการ นำทหาร 100,000 คน บุกแคว้นฉี แม่ทัพอิ๋งเฉิงสามารถยึดเมืองหลวงของแคว้นฉีไว้ได้และตัดหัวฉีอ๋องมาถวายแด่ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้ง 


เมื่อแคว้นฉีซึ่งเหลือเป็นแคว้นสุดท้ายล่มสลาย การรวมเข้าประเทศเป็นหนึ่งเดียวจึงสำเร็จ และพระองค์ทรงตรัสว่า “ข้าอิ๋งเจิ้ง เป็นอ๋องรุ่นที่ 13 ของแคว้นฉิน อายุ 13 ปีขึ้นครองราชย์ รับบัญชาสวรรค์ สานต่อภาระบรรพบุรุษทั้ง 6 รุ่น 17 ปีล่มสลายแคว้นหัน 19 ปีล่มสลายแค้วนจ้าว 21 ปีล่มสลายแคว้นเอี้ยน 23 ปีล่มสลายแคว้นเว่ย 24 ปีล่มสลายแคว้นฉู่ บัดนี้ล่มสลายแคว้นฉี ช่วงเวลา 10 ปี ล่มสลาย 6 แคว้น ใต้หล้ารวมสู่แคว้นฉิน รวมกันเป็นหนึ่ง บรรพบุรุษทุคยุคทุกสมัย แผ่นดินเป็นของอ๋อง ข้าเป็นอ๋องแต่เพียงผู้เดียวในใต้หล้านี้ แผ่นดินฉินจะคงอยู่ยืนนานนับหมื่นปี” 

แผ่นดินใหม่นี้มีชื่อเรียกว่า “ต้าฉิน” โดยที่คำว่า “ต้า” นั้นหมายถึงแผ่นดิน ส่วนคำว่า “ฉิน” นั้นเป็นชื่อของแผ่นดิน “ต้าฉิน” จึงมีความหมายว่า “แผ่นดินฉิน” ในปัจจุบัน เราเรียกแผ่นดินนี้ว่า “แผ่นดินจีน” หรือ “ประเทศจีน” โดยที่คำว่า “ฉิน” เรียกเพี้ยนไปเป็นคำว่า “จีน”

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Facebook Marketing




Facebook Marketing: Starting an Online Business


The newest trend in the internet today is joining one of the many social networking websites. Here, you will be able to keep in touch with your old friends as well as your relatives and you will also be able to make new friends as well as meet new people. With social networking websites, you will see that it will make the world a smaller place.

One social networking website that is so popular among many people from all over the world is Facebook. In this website, you will be able to post your pictures, discuss your interests and hobbies as well as do other great things.

In the past, Facebook was restricted to Harvard College students. In time, it expanded to other schools and universities until it became available for everyone above the age of 13 from different parts of the world.

Presently, the Facebook website now has more than 62 million active users worldwide.

Now, if you have an online business, you will see that Facebook can significantly help you promote your website and your business. Facebook marketing is now one of the hottest trends among online entrepreneurs today. Just think about it, with over 62 million active users worldwide, you will definitely have a lot of potential clients to do business with.

Because of the amount of people joining Facebook, a lot of online business owners are now joining this social networking website in order to market their products or services. With Facebook, you will definitely be able to effectively market your website.

The great thing about Facebook today is that anyone will now be able to join it. Whether you are a college student or you are an entrepreneur looking for a niche market, Facebook is the place that you should go to.

In fact, Facebook is now very popular that it is now investing a lot of money for advertising in order to attract more people to join. With this kind of benefit, you will see the potential on what your business can have.

Facebook as well as other social networking websites are now just beginning to see its full potential.

Today, you will see that Facebook has now launched its Facebook Ads system that will allow you and other fellow business owners to formally advertise your products and services. You have to consider the fact that people are three to five times more likely buy a particular product if their friends recommend it. If you advertise in Facebook, you will be able to increase your sales.

Facebook is now very popular that it now contains ads for big corporations, such as Microsoft, Coca-Cola and other companies.

So, if you are thinking about marketing online for your business and you want to increase your company's sales, then you may want to try out Facebook. Here, you will be able to increase the advertising potential for your company. Also, you will be able to reach out to more people as well as get a niche market for your products and services.

So, if you think that online advertising or marketing is not working for you, you might want to try out marketing on Facebook. Here, you will be able to see how effective marketing is by using this one of a kind social networking website and you will be able to increase your sales.

กำเนิดเครื่องสำอาง

                    เครื่องสำอางเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และมีการค้นพบว่า มีการใช้เครื่องสำอางมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ จีน อินเดีย และต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยชาวกรีกเป็นชาติแรกที่มีการแยกการแพทย์และเครื่องสำอางออกจากกัน และยังถือว่าการใช้เครื่องสำอางเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติต่อร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และเป็นกิจวัตรประจำวัน ศิลปะการใช้เครื่องสำอางและเครื่องหอมได้ถึงขีดสุดในระหว่างอาณาจักรโรมัน แล้วศิลปะการใช้เครื่องสำอางจึงแพร่หลายเข้าสู่ทวีปยุโรปหลังจากอาณาจักรโรมันสิ้นสุดลง

                    นอกจากนี้ ชาวอาหรับก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในการผลิตเครื่องสำอาง โดยได้มีการดัดแปลง แก้ไขส่วนผสมต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดีขึ้น เช่น การใช้กรรมวิธีการกลั่นเพื่อให้มีความบริสุทธิ์สูง การใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย เป็นต้น เมื่อศิลปะการใช้เครื่องสำอางได้แพร่หลายเข้าสู่ในประเทศฝรั่งเศสมากขึ้น และได้ด้มีผู้นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้ามาใช้ ทำให้มีการเพิ่มการผลิต และปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอางให้มีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้มีการเปิดสอนวิชาการเครื่องสำอาง ที่เมืองชิคาโก มลรัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก ทำให้นักศึกษาได้รู้จักวิธีการใช้เครื่องสำอางชนิดต่างๆ ในการรักษาผิวหนังและเส้นผม ต่อมาการศึกษาวิชานี้ได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วการศึกษาประวัติของเครื่องสำอาง อาจแบ่งตามยุคต่างๆ ได้ดังนี้

1. ยุคอียิปต์หรือยุคก่อนคริสตกาล นักโบราณคดียกย่องให้ชาวอียิปต์เป็นชาติแรก ที่รู้จักคิดค้นและผลิตเครื่องสำอาง เนื่องจากมีการค้นพบหลักฐานทางโบราณวัตถุที่เก่าแก่ และร่องรอยในการทำพิธีกรรมทางศาสนา และการบูชาเทพเจ้าต่างๆ ในสมัยนั้น โดยได้มีการเผาเครื่องหอมหรือกำยาน และมีการใช้เครื่องเทศ สมุนไพร และน้ำมันต่างๆ สำหรับรักษาคงสภาพของศพไว้ เพราะมีความเชื่อว่า วิญญาณของคนที่ตายแล้วจะกลับมาเกิดใหม่ในร่างเดิมอีกครั้ง ในความเป็นจริงประเทศจีน น่าจะเป็นชาติแรกที่มีการผลิตเครื่องสำอางขึ้นมาใช้ แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในการยืนยัน จึงถือว่าประเทศอียิปต์เป็นชาติแรกที่มีการผลิตเครื่องสำอางขึ้นมาใช้ โดยนักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐาน ดังต่อไปนี้

1.1 ที่ฝังพระศพของกษัตริย์องค์แรกในราชวงศ์เทไนท์ นักโบราณคดี ได้ค้นพบภาชนะที่ใช้บรรจุผงสำหรับทาเปลือกตา เรียกว่า Kohl ซึ่งทำมาจากผงเขม่าผสมกับพลวง

1.2 ที่ฝังพระศพของกษัตริย์องค์ที่ 18 มีการค้นพบดินสอเขียนคิ้วและขอบตา ซึ่งทำมาจาก แอนทิโมนีซัลไฟด์ นอกจากนี้ยังมีการค้นพบ ภาพเขียนในกระดาษพาพีรูส แสดงรูปผู้ชายผู้หญิงใส่เครื่องประดับผม เรียกว่า นาร์ด บนศีรษะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชาวอียิปต์ในสมัยนั้น รู้จักการเสริมสวยแล้ว

1.3 ที่ฝังพระศพของกษัตริย์ทูทันคาเมน นักโบราณคดีได้ค้นพบเครื่องสำอางมากมายหลายชนิด รวมทั้งน้ำมันหอมชนิดต่างๆ จากกษัตริย์องค์นี้


2. ยุคโรมันในยุคที่โรมันเรืองอำนาจ ชาวโรมันได้เข้าไปครอบครองกรีกและอียิปต์ ไปจนถึงเมืองอเล็กซานเดรีย บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ยุคนี้คือ จูเลียส ซีซาร์ (Jullius Caesar) มาร์ค แอนโทนี (Marcus Antonius) และ พระนางคลีโอพัตราที่ 7 (Cleopatra VII) ซึ่งพระนางคลีโอพัตรา รู้จักการเสริมสวยทำให้เป็นที่ดึงดูดใจแก่ผู้พบเห็น และยังเป็นผู้คิดค้นเครื่องสำอางหลายประเภท ชาวโรมันได้รับอิทธิพลจากชาวกรีกและชาวอียิปต์ จึงทำให้รู้จักศิลปะการใช้เครื่องสำอาง และการแต่งกาย


3. ยุคมืดหลังจากอาณาจักรโรมันได้เสื่อมอำนาจลง เนื่องจากเกิดสงครามทางศาสนา ความเจริญก้าวหน้าทางเครื่องสำอางก็หยุดชะงัก แต่ในขณะเดียวกัน ในโลกตะวันออกกลับมีความเจริญก้าวหน้าของศิลปะการใช้เครื่องสำอาง นำโดยประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งได้ทำการค้าติดต่อกับประเทศทางยุโรป ผ่านทางเอเชียตะวัตกเฉียงใต้ โดยมีการซื้อขายสินค้าต่างๆ เช่น เครื่องเทศ ผ้า รวมทั้งเครื่องสำอาง


4. ยุคอิสลาม ยุคอิสลามอยู่ในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 7 – 12 หลังจากเสร็จสิ้นสงครามหลายศตวรรษ ความเจริญก็ได้เกิดขึ้นบริเวณเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวอาหรับ ในยุคนี้เป็นยุคของการเกิดศาสดาของศาสนาอิสลาม คือ พระมะหะหมัด การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ทำให้สามารถรวมรวบอาณาจักรตั้งแต่ซีเรียจดประเทศอียิปต์ และยังข้ามไปทวีปแอฟริกาไปยึดครองประเทศสเปนและยุโรปบางส่วนได้ ชาวอาหรับมีข้อดีคือ เมื่อสามารถยึดครองประเทศใดได้ จะไม่เผาทำลายบ้านเมือง แต่จะนำเอาวิชาการของประเทศนั้นๆ มาใช้ ในยุคนี้มีบุคคลที่มีความสำคัญต่อวงการเครื่องสำอางคือ อิบน์ ซีนา เป็นชาวเปอร์เซียที่ค้นพบวิธีการกลั่นน้ำหอมจากดอกกุหลาบ อีกคนหนึ่งคือ อาบู มอนเซอ มูวาฟแฟส เป็นเภสัชกรชาวเปอร์เซียที่ค้นพบความมีพิษของทองแดงและตะกั่วในเครื่องสำอาง และยังค้นพบว่า สามารถใช้แคลเซียมออกไซด์ ในการกำจัดขน อีกคนที่สำคัญก็คือ อูมาร์ อิบน์ อัล-อาดิม เป็นนักประวัติศาสตร์และครู ชาวซีเรีย ได้เขียนคู่มือเกี่ยวกับการทำน้ำหอมไว้มากมาย ยุคอิสลามนี้เรืองอำนาจอยู่ แล้วก็เสื่อมอำนาจลงเนื่องจากแพ้สงครามกับชาวคริสเตียนในประเทศสเปนและหมู่เกาะซิซิลี


5. ยุคยุโรปเริ่มเฟื่องฟูยุคยุโรปเริ่มเฟื่องฟูนี้ โดยเริ่มแรกความเจริญรุ่งเรืองจะอยู่บริเวณยุโรปตอนใต้ แถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน แต่หลังจากที่มีการเผลแพร่ศาสนาคริสต์เข้าสู่ประเทศในยุโรป ก็ได้มีการเผยแพร่อารยธรรมและวัฒนธรรมเข้าไปด้วย โดยถือว่ากรุงโรมเป็นศูนย์กลางที่ได้รับการเผยแพร่อารยธรรมและวัฒนธรรม


6. ยุคยุโรปก้าวหน้ายุคยุโรปก้าวหน้า ถือเป็นยุคทองของยุโรป เป็นยุคที่ชาวยุโรปเริ่มมีการแสวงหาความรู้ทุกสาขาวิชา ได้มีการเปิดสถานที่ในการสอนวิทยาการทางการแพทย์และเภสัชกรรม โดยตั้งโรงเรียนที่เมืองซาลาโน และเปิดมหาวิทยาลัย ที่เมืองเนเปิลส์ และมหาวิทยาลัยแห่งโบโลญา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการรักษาโดยการทำศัลยกรรมเป็นแห่งแรก และมีความเกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางในยุคนี้ เป็นยุคที่ชาวยุโรป มีความรู้ในการผลิตน้ำหอมจากพืชและสัตว์บางชนิด และสามารถทำรูจ สำหรับทาแก้มจากดินสีแดงที่เรียกว่า ซินนาบาร์ ซึ่งมีไอร์ออน ออกไซด์ เป็นองค์ประกอบ นอกจากนี้ ยังสามารถทำแป้งทาหน้าจาก เลดคาร์บอเนต และรู้จักการทำน้ำมันแต่งผมจากน้ำมันพืชและน้ำมันดินจากธรรมชาติ

แมคโครไบโอติกส์

เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพและก็เจอหัวข้ออาหารสุขภาพที่มีชื่อว่าแมคโครไบโอติกส์ ซึ่งตัวผมเองไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ส่วนใหญ่จะคุ้นหูกับคำว่าอาหารชีวจิตมากกว่า เลยเอามาฝากคนรักสุขภาพให้อ่านกันเล่น ๆ ครับ เผื่อจะอยากทานกัน อาหารแนวแมคโครไบโอติกส์ คือการรับประทานอาหารแนวใหม่เน้นสุขภาพเป็นหลัก อาหารส่วนใหญ่เน้นผัก ผลไม้และไม่ทานเนื้อสัตว์ ส่วนประกอบของอาหารจึงมีความพิเศษดังนี้อาหารประเภทแป้งต้องไม่ขัดขาว ได้แก่พวกข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ให้ได้ 50% ของแต่ละมื้อ และต้องรับประทานผักทั้งสุกและดิบร่วมกัน ประมาณ 25% ของแต่ละมื้อด้วย ยังไม่หมดครับ ยังต้องทานถั่วต่าง ๆ หรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว งดเนื้อสัตว์ จะยกเว้นก็แค่ ปลาหรืออาหารทะเล แต่จะรับประทานได้แค่ อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น ส่วนผสมในอาหารจะไม่ใช้น้ำตาลขาวเลย แต่จะใช้ เป็นน้ำเชื่อมจากข้าว น้ำอ้อย หรือน้ำผึ้งแทนรสหวาน ส่วนรสเปรี้ยว ก็ให้ใช้ น้ำมะขาม บ๊วยหรือ มะนาวในการปรุงรส รสเค็มนั้นใช้เกลือทะเลแท้ ๆ หรือซีอิ้วขาวที่หมักตามธรรมชาติ เป็นแนวการกินอาหารแนวใหม่

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดกันเถอะ

Hello! everybody ทุกวันนี้คนเรามีแนวโน้มว่าจะหันมารักษาสุขภาพกันมากขึ้น มีหลายปัจจัยที่ทำให้สุขภาพดี เช่น การออกกำลังกาย การพักผ่อน และที่สำคัญคือ การเลือกรับประทานอาหาร วันนี้อยากจะชวนเพื่อนๆ มาทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดกันเถอะ เนื่องจากเป็นการสร้างสมดุลที่ดีให้แก่ร่างกาย ภูมิต้านทาน ระบบย่อย การลดน้ำหนัก และช่วยให้ไม่แก่เร็วอีกด้วย
- คนที่มีเลือดกรุ๊ปโอควรทานเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อวัว เป็ด ไก่ ปลาทู ห้ามทานเนื้อหมู ปลาดุกและปลาหมึก ควรทานเมล็ดฟักทอง ห้ามทานถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ สำหรับข้าวไม่ควรทานเลย แต่ก็ไม่ถึงห้ามเด็ดขาด แต่ห้ามทานขนมปัง ผักที่ควรทานคือ ปวยเล้ง ฟักทอง มันเทศ หอมใหญ่ ผลไม้ที่ควรทานคือ เชอรี่และสับปะรด ห้ามทานส้มและแอปเปิ้ล ห้ามดื่มกาแฟและนมวัว

-คนที่มีเลือดกรุ๊ปเอเหมาะกับการบริโภคปลาและพืชต่างๆ เช่น ปลาทู ปลากระพง แซลมอน ควรทานผักใบเขียว เหลืองและธัญพืช ไม่ควรทานเนื้อวัว หมู ไก่ เป็ด ควรทานถั่วลิสงและเมล็ดฟักทอง ห้ามเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ห้ามทานพวกโฮลวีท แต่ให้ทานพวกข้าวขาว ขนมปังขาว ผักที่ควรทานคือ บร็อคโคลี่ ปวยเล้ง แตรอท กระเทียม ห้ามทานผักกาดขาว เห็ด พริก ผลไม้ที่ดีคือ เชอรี่และสับปะรด ห้ามนมวัว เบียร์ น้ำอัดลมและโซดา

-คนที่มีเลือดกรุ๊ปบีควรทานเนื้อแกะ แพะ ปลาทู ปลาคอด ห้ามทานเนื้อหมู ไก่ เป็ด หอย ปู กุ้ง ปลาหมึก ไม่ควรทานถั่วลิสง มะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง งา ห้ามทานขนมปังโฮลวีท ผักที่ดีคือ บร็อคโคลี่ ผักกาดขาว แครอท กะหล่ำดอก พริก มะเขือ เห็ด ควรทานกล้วย องุ่น สับปะรด ห้ามมะพร้าว มะเฟือง เครื่องดื่มที่ดีคือ ชาเขียวญี่ปุ่น นมแพะ ห้ามดื่มน้ำอัดลมและโซดา

-คนที่มีเลือดกรุ๊ปเอบีมีแค่2%เท่านั้น ซึ่งมีส่วนคล้ายกับคนเลือดกรุ๊ปเอและบี แต่มีจุดอ่อนตรงระบบย่อยอาหาร ควรทานเนื้อสัตว์น้อยๆแต่อย่าบ่อยนัก ควรทานเนื้อแกะ แพะ ไก่งวง ปลาทู ปลากระพง ห้ามทานเนื้อวัว หมู ไก่ เป็ด ควรทานเกาลัด ถั่วลิสง ห้ามเมล็ดฟักทอง งา ผักที่ควรทานคือ บร็อคโคลี่ กะหร่ำดอก แตงกวา เห็ด ห้ามทานข้าวโพด พริก มะเขือเทศ

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทำความรู้จักกับกล้องดิจิตอล

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ


ดิชั้นเชื่อว่าหลายๆคน ชื่นชอบการถ่ายรูปอยู่ไม่มากก็น้อย แล้วเพื่อนๆพอรู้กันหรือไม่ว่ากล้องดิจิตอลแบ่งออกเป้นกี่ประเภท ดังนั้นวันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับดิจิตอลในปัจจุบันกันดีกว่าค่ะ


ในปัจจุบันนี้เราสามารถแบ่งกล้องดิจิตอลออกเป็น 3 ประเภท






1.กล้องคอมแพค (Compact)


กล้องประเภทนี้คือกล้องที่คนทั่วไปใช้กันหรือที่เรียกว่า digital point-and-shoot แปลว่า เล็งแล้วถ่ายได้เลย กล้องประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องปรับแต่งหรือเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เนื่องจากมีฟังก์ชันให้ใช้ง่ายๆ โดยสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว นอกจากนั้นกล้องประเภทนี้ยังมีขนาดเล็ก กะทัดรัด มีตั้งแต่ขนาดเล็กมาก ถึง ปานกลาง ซึ่งทำให้คนทั่วไปชอบใช้เพราะว่าง่ายต่อการใช้งานแล้วยังพกพาสะดวกอีกด้วย








2.กล้อง SLR-Like or Prosumer


กล้องประเภทนี้เป้นกล้องกึ่งโปร ส่วนใหญ่แล้วจะมีหน้าตาเหมือนกับกล้องถ่ายรูปแบบ DSLR ซึ่งคุณภาพและคุณสมบัติที่ได้จะดีกว่ากล้องคอมแพคแน่นอน และใกล้เคียงกับกล้อง DSLR ตรงที่ฟังก์ชันการใช้งานของกล้องคล้ายๆกัน แต่มีข้อจำกัดตรงที่ว่ากล้องประเภทนี้ไม่สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ จึงทำให้คนทั่วไปเริ่มให้ความสนใจกับกล้องประเภทนี้กันมากขึ้นเพราะเนื่องจากราคาถูกกว่ากล้อง DSLR






3.กล้อง Digital SLR (DSLR)



กล้องประเภทนี้เป็นกล้องที่พวกช่างภาพมืออาชีพใช้กันหรือพวกที่สนใจการถ่ายภาพอย่างจริงจัง เพราะกล้องประเภทนี้สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ เสียบแฟลชภายนอก หรือใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆได้ หรือพูดง่ายๆว่ามีของเล่นที่ทำให้การถ่ายภาพของคุณสนุกสนานและตรงตามความต้องการของคุณมากขึ้นนั้นเองแต่นั้นก็หมายความว่าทำให้คุณจนได้เลยทีเดียวเพราะว่าเจ้ากล้องและอุปกรณ์เหล่านี้ราคาค่อนข้างแพงเอาเรื่องอยู่ แต่อย่างว่าของราคาแพง ดังนั้นคุณภาพย่อมต้องเหมาะสมกับราคาเป็นธรรมดาเพราะกล้องประเภทนี้ให้คุณภาพและคุณสมบัติที่สูงเลยทีเดียว แต่มีข้อเสียตรงที่ว่าการใช้งานฟังก์ชันค่อนข้างซับซ้อนเพราะฉะนั้นผู้ที่ใช้กล้องประเภทนี้ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการใช้กล้อง DSLR พอสมควรถึงจะถ่ายภาพให้ออกมาได้ดั่งใจค่ะ












วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ประวัติการรวมแผ่นดินจีน 1

สวัสดีครับเพื่อนๆ ผมเป็นคนที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์และบุคคลในประวัติศาสตร์ ยิ่งโดยเฉพาะประวัติศาสตร์จีนนั้นยิ่งชอบมาก อาจจะเป็นเพราะมีเชื้อสายจีนจากการที่อาม่าของผมอพยพนั่งเรือสำเภามาที่เมืองไทย และตอนผมเด็กอาม่าก็ชอบเล่าเรื่องราวตอนอพยพของท่านให้ฟัง และก็พยายามสอนภาษาจีนให้ผม ส่วนผมก็เป็นเด็กดีพยายามตั้งใจที่จะไม่ฟัง :) ก็เลยไม่ได้ใช้ภาษาจีนเลยและก็ไม่เคยสนใจเรื่องราวลักษณะแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งภายหลังจากที่อาม่าผมเสียไป ผมจึงเกิดแรงบันดาลใจในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศจีนมากขึ้น และเรื่องราวที่ผมศึกษาเป็นเรื่องแรกก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับการรวมแผ่นดินจีนในสมัย "ฉินซือหวองตี้" หรือที่คนไทยเรียกว่า "จิ๋นซีฮ่องเต้" นั่นเอง 


ประวัติ

ในปีที่ 246 ก่อน ค.ศ. ปลายราชวงศ์โจว จวงเซียงหวางกษัตริย์แห่งแคว้นฉินสิ้นพระชนม์ อิ๋งเจิ้งราชโอรสขึ้นครองราชย์เป็นอ๋องรุ่นที่ 13 ของแคว้นฉิน ในขณะที่มีพระชนมายุเพียง 13 พรรษา ทรงมีพระนามว่า ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้ง แต่ในระหว่างที่ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งยังทรงพระเยาวน์อยู่นั้น อัครมหาเสนาบดีชื่อหลี่ปู้เหวย (นายกรัฐมนตรี) เป็นผู้สำเร็จราชการแทน ซึ่งยังคงดำเนินตามนโยบายเดิมของแคว้นฉิน คือ สร้างแคว้นฉินให้เข้มแข็ง และรวม 6 แคว้นเข้าเป็นอาณาจักรหนึ่งเดียวให้จงได้


การรวมแผ่นดิน


ในปลายยุคสมัยราชวงศ์โจว ประเทศจีนแบ่งเป็น 7 แคว้น ประกอบไปด้วย แคว้นฉิน แคว้นฉี แคว้นฉู่ แคว้นจ้าว แคว้นเว่ย แคว้นเอี้ยน แคว้นหัน ความคิดที่จะรวบรวมประเทศให้เป็นหนึ่งของแคว้นฉินนั้นไม่ได้มีมาตั้งแต่ต้น แต่เริ่มมีมาตั้งแต่ฉินอ๋องรุ่นที่ 7 ในสมัยของ ฉินอ๋องเสี้ยวกง, ฉินอ๋องฮุ่ยหวาง, ฉินอ๋องอู่หวาง, ฉินอ๋องเจาหวาง, ฉินอ๋องเสี้ยวเหวินหวาง, ฉินอ๋องจวงเซียงหวาง นับได้ 6 รุ่น แต่มาสำเร็จเอาในรุ่นที่ 7 ในสมัยของฉินอ๋องอิ๋งเจิ้ง ซึ่งเป็นอ๋องรุ่นที่ 13 ของราชวงศ์ฉิน

ต่อไปนี้คือเหตุการณ์ในการรวมประเทศของฉินอ๋องอิ๋งเจิ้ง


ในปีที่ 230 ก่อน ค.ศ. ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งทรงมีบัญชาให้แม่ทัพอิ๋งเฉิงเป็นผู้บัญชาการ นำทหาร 10,000 คน ไปตะวันออกเพื่อทำลายแคว้นหัน เพราะแคว้นหันเป็นหนึ่งในสองแคว้นที่ติดกับแคว้นฉินและฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งใช้ยุทธวิธีผูกมิตรแคว้นไกลทำลายแคว้นใกล้ และจับตัวหันอ๋องแล้วปลดเป็นสามัญชน เป็นประชาชนของแคว้นฉิน ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งจึงสามารถล่มสลายแคว้นหันได้สำเร็จ รวมแคว้นหันเข้าเป็นเขตหนึ่งของแคว้นฉินได้เป็นแคว้นแรก


ในปีที่ 228 ก่อน ค.ศ. แม่ทัพหลี่มู่แห่งแคว้นจ้าวต่อต้านกองทัพของแคว้นฉินอย่างเข้มแข็ง ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งจึงใช้ทองเป็นสินบนซื้อกัวไคขุนนางคนสนิทของจ้าวอ๋องไว้เป็นไส้ศึก จนแม่ทัพหลี่มู่ถูกปลดจากตำแหน่งและถูกฆ่าตาย หลังจากนั้น ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งก็สามารถพิชิตแคว้นจ้าวรวมแคว้นจ้าวเข้าเป็นเขตหนึ่งของแคว้นฉินได้โดยสะดวก 

แต่ในการสยบแคว้นจ้าวนั้นยากกว่าที่คาดคิดไว้มากเนื่องจาก แม้ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งยึดครองแคว้นจ้าวแล้ว แต่กลับไม่สามารถครองใจประชาชนแคว้นจ้าวได้ ประชาชนแคว้นจ้าวทั้งหมดไม่ยอมทำตามและไม่ยอมเป็นประชาชนของแคว้นฉิน ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งจึงบัญชาให้ทหารสังหารหมู่ประชาชนชาวแคว้นจ้าวทั้งหมดโดยการฝังทั้งเป็น ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นการสังหารหมู่แล้ว ซานเกิงองค์รักษ์คนสนิทของฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งทนไม่ได้ที่เห็นการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมทารุณจึงทูลทัดทานว่า “ครั้งนี้ฆ่าคนมากเกินไป คนชั่วก็ฆ่า.. คนดีก็ฆ่า ทหารก็ฆ่า ประชาชนก็ยังฆ่า ไม่ว่าผู้หญิงหรือเด็กถูกฆ่าหมด” แต่ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งตรัสกลับมาว่า “ออกรบแล้วไม่ฆ่าคนเหรอ เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเจ้าไม่เคยฆ่าคนดี เจ้าฆ่าคนเลวทั้งหมดเหรอ” ซานเกิงทูลตอบว่า “ซานเกิงไม่ฆ่าคนแก่ ไม่ฆ่าผู้หญิง ไม่ฆ่าเด็ก คนที่ไม่มีอาวุธ ซานเกิงไม่ฆ่า” แต่ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งตรัสกลับมาว่า “ข้าก็เหมือนเจ้านั่นแหละ คนไม่มีอาวุธข้าไม่ฆ่า ศัตรูของเจ้าอยู่ข้างหน้า แต่ศัตรูของข้ามีอยู่ทุกที่ ศัตรูของเจ้าถือมีดดาบเป็นอาวุธ แต่ศัตรูของข้าถืออาวุธทุกชนิด นอกจากมีดดาบแล้ว ก็ยังมีความแค้น ความเจ็บปวดที่ทารุณและคำสาปแช่ง ล้วนเป็นอาวุธของพวกเขา ศัตรูของเจ้าจะทำร้ายร่างกายของเจ้า แต่ศัตรูของข้าต้องการโค่นบัลลังก์ของข้า ขัดขวางการปกครองของข้า”


ในปีที่ 225 ก่อน ค.ศ. ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งทรงมีบัญชาให้แม่ทัพใหญ่หวังเจี้ยนเป็นผู้บัญชาการ แม่ทัพหลี่ซิ่นเป็นรองผู้บัญชาการ นำทหาร 300,000 คน ยึดแม่น้ำอี้สุ่ยและตูกังเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของแคว้นเอี้ยนได้สำเร็จ จึงสามารถล่มสลายแคว้นเอี้ยนและรัชทายาทเอี้ยนตันฆ่าตัวตาย รวมแคว้นเอี้ยนเข้าเป็นเขตหนึ่งของแคว้นฉิน

แต่ในระหว่างการทำสงครามกับแคว้นเอี้ยนนั้นกลับมีเหตุการณ์ที่ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้งไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งก็คือ รัชทายาทเอี้ยนตันแอบส่งราชทูตจิงเคอเข้าไปลอบปลงพระชนม์ฉินอ๋องอิ๋งเจิ้ง นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์และมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ด้วย


สยบไป 3 แคว้นแล้ว เหลืออีก 3 แคว้นเอาไว้ตอนหน้านะครับ!!