วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สิบขั้นตอนในการทำตู้ทะเล

ก่อนท่านจะเริ่มเลี้ยงทางเราขอแนะ

ขั้นที่ 1 การเตรียมและตรวจสอบอุปกรณ์ (ขั้นตอนสำคัญสำหรับคนที่ไม่ต้องการให้ตู้แตก)


ทำความสะอาดตู้ ด้วยน้ำเปล่าและฟองน้ำหรือผ้าเท่านั้น ห้ามใช้สบู่ ผงซักฟอกหรือสารเคมีอื่นๆ เช็คขาตั้งและพื้นว่าแข็งแรงและระนาบดีพอที่จะรับน้ำหนักทั้งหมดของตู้ได้ (ควรคำนวณความจุของน้ำและหน้ำหนักหินที่จะใส่ในตู้) วางตู้ในสถานที่ที่ต้องการตั้ง และติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมด (ฟิลเตอร์ หัวเป่า สกิมเมอร์ ฯลฯ) เติมน้ำเปล่าให้เต็ม เพื่อเช็คระดับการวางของตู้ว่าอยู่ในแนวระนาบดีพอหรือยัง และเช็คตามรอยต่อของตู้ว่ามีน้ำซึมออกมาหรือไม่
ทดสอบตู้โดยการเปิดอุปกรณ์ทั้งหมด เป็นโดยรันระบบไว้ประมาณ 24-48 ชั่วโมง เช็ครอยรั่วซึม และอุปกรณ์ทั้งหมดว่าทำงานเป็นปกติดีหรือไม่ เมื่อทำการเช็คเสร็จแล้วในขั้นนี้ให้ถอดปลั๊กอุปกรณ์ทั้งหมด ก่อนจะปล่อยน้ำออกจากตู้

ขั้นตอนที่ 2 การเตรียมน้ำ


-ใช้น้ำทะเล พยามยามเก็บไว้ในที่ที่ไม่โดนแดด หรือใช้ผ้าคลุมไว้
-ใช้น้ำเกลือผสม ผสมตามอัตราส่วนที่ข้างถุง แล้วเปิดหัวเป่าทิ้งไว้ซักสองถึงสามวัน

ขั้นตอนที่ 3 การเตรียมระบบ


เติมน้ำที่เตรียมไว้ลงในตู้ปลา เปิดระบบอุปกรณ์ทั้งหมด

ขั้นตอนที่ 4 การเตรียมหินเป็น


ควรเลือกใช้หินเป็นที่บำบัดมาแล้ว และเป็นหินเป็นที่ค่อนข้างสมบูรณ์ หากใช้หินเป็นที่ยังไม่ได้บำบัดควรนำไปบำบัดก่อน (โดยการเป่าออกซิเจนทิ้งไว้ซักวันสองวัน) ไม่ควรนำมาใสลงไปในตู้ทันที

ขั้นตอนที่ 5 การลงหินเป็น


ควรวางแผนในการจัดตู้ก่อนซื้อหินเป็นว่าต้องการจัดในลักษณะใด และเลือกซื้อหินเป็นให้เหมาะกับความต้องการ เช่น หากต้องการจัดในลักษณะที่เป็นช่อง หรือถ้ำ ควรคำนึงถึงหินที่เป็นฐานอยู่ด้านล่างควรเลือกที่มั่นคงแข็งแรง ไม่ผุ หรือถล่มง่าย เพราะจะมีผลกับการกระแทกตู้ในภายหลัง ปิดระบบอุปกรณ์ทั้งหมด และ ตักน้ำในตู้ออกครึ่งหนึ่ง แยกไว้ต่างหาก ใส่หินเป็นลงในตู้จัดเรียง ตามความพอใจเมื่อเสร็จแล้วเช็คความมั่นคงของโครงสร้าง นำน้ำที่แยกไว้กลับมาเติมให้ได้ระดับเดิม และเปิดระบบและอุปกรณ์ทั้งหมดอีกครั้ง

ขั้นตอนที่ 6 การรอระบบเซทตัว (สำคัญมาก)


ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญและขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำและหินเป็นที่เลือกใช้ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาระหว่าง 3-8 อาทิตย์
เติมแบคทีเรียหรือกุ้งตายลงไปในตู้ จากนั้นเช็คค่าน้ำทุกอาทิตย์และตรวจดูค่าต่างหรือความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะ ammonia, nitrite และ nitrate.
รอจนกระทั่งระบบเซทตัวเองให้สมบูรณ์ เช็คค่าน้ำให้เป็นปกติมากที่สุดก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ขั้นตอนนี้ไม่ควรเปลี่ยนน้ำในตู้ และไม่ควรเปิดไฟเพราะจะทำให้เกิดตะไคร่ได้ง่าย

ขั้นตอนที่ 7 ศึกษาและวางแผนการเลือกสิ่งมีชีวิต


ควรหาข้อมูลและศึกษาในระหว่างที่รอระบบเซทตัว (เพื่อกันไม่ให้ฟุ้งซ่านและใจร้อน) และ ควรคำนึงถึง ความพร้อมของผู้เลี้ยง เวลาในการดูแล และความพร้อมของตู้ เพราะตู้ปลาทะเลมีลักษณะปลีกย่อยแตกต่างกันออกไปมากระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และควรทำความเข้าใจถึงความยากง่าย และอายุของระบบในตู้และความชำนาญของผู้เลี้ยงก่อนที่จะเลือกซื้อ และสำหรับสิ่งมีชีวิตที่ละเอียดอ่อนต่อการดูแล ระบบควรเสถียรมากกว่าหกเดือนขึ้นไป

ขั้นตอนที่ 8 การลงทรายเป็นและเศษปะการัง


ปิดระบบและอุปกรณ์ ทุกอย่าง ตักน้ำในตู้ออกมาแยกครึ่งหนึ่ง จากนั้นลงทรายเป็นและเศษปะการัง (ไม่ควรลงย้ายหินเป็นขึ้นมาวางบนทรายเพราะสิ่งมีชีวิตบางอย่างจะขุดทรายและทำให้หินถล่มได้) เมื่อลงทรายและปะการังได้ระดับดีแล้ว นำน้ำ ที่แยกไว้กลับมาเติมลงในตู้โดยใช้ถ้วยหรือท่อพีวีซีรองเพื่อกันทรายฟุ้งกระจาย เติมน้ำให้ได้ในระดับเดิม และเปิดระบบอีกครั้ง รอจนกระทั่งทรายตกตะกอนและน้ำใสดีแล้ว เช็คค่าน้ำต่างๆ ให้เป็นปกติ เช็คระบบไฟ และ อุณภูมิ

ขั้นตอนที่ 9 การลงปลาหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ


เช็คระบบให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด และค่าน้ำรวมไปถึงอุณภูมิ ความเค็ม ฯลฯ อยู่ในระดับที่ปกติ เลือกปลาหรือสิ่งมีชีวิตที่ดูแลง่าย ซักสองหรือสามชนิด เพื่อเช็คระบบในตู้ และให้แน่ใจว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถอยู่ได้สองถึงสามอาทิตย์โดยไม่มีสิ่งใดผิดปกติก่อนจะลงสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นต่อไป

ขั้นตอนที่ 10 การดูแลและรักษาสิ่งมีชีวิตในตู้


หมั่นดูแล เอาใจใส่ และสังเกตสิ่งมีชีวิตต่างๆในตู้ว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ ศึกษาหาความรู้ในด้านอื่นๆ เช็คระบบน้ำ และบำรุงรักษาเครื่องมืออยู่เสมอ เพราะตู้ทะเลเป็นระบบปิด ต้องการการดูแลเอาใจใส่เพื่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิตอยู่มาก

โปรตีนสกิมเมอร์ (เครื่องช้อนฟอง)

โปรตีนสกิมเมอร์ หรือ เครื่องช้อนฟอง ในที่นี้จะเรียกต่อไปว่า “โปรตีนสกิมเมอร์”

โปรตีนสกิมเมอร์ เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญต่อระบบของตู้ทะเล แม้ว่า จะมีหลายๆคนจะกล่าวยืนยันว่าได้ประสบความสำเร็จ ในการเลี้ยงตู้ทะเล ด้วยระบบอื่น แต่โปรตีนสกิมเมอร์ก็ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญ และมีประโยชน์สำหรับตู้ทะเลเป็นอย่างมาก

โปรตีนสกิมเมอร์ เป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่ช้อนฟองที่จับเอาอณูอินทรีย์ออกจากน้ำ ก่อนที่อณูอินทรีย์เหล่านั้นจะเกิดปฏิกิริยาเน่าเปื่อย และเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียในวัฏจักรไนโตรเจน ฟองที่สกิมเมอร์กำจัดออกไปได้นั้นจะประกอบไปด้วย โปรตีน กรดอะมิโน ไขมัน และของเสียอื่นๆ อื่นที่เกิดจากของเสียของสิ่งมีชีวิตในตู้ทะเล



การเลือกซื้อโปรตีนสกิมเมอร์

โปรตีนสกิมเมอร์ที่วางขายอยู่ในตลาดอุปกรณ์ทั่วไปนั้น ต่างมีคุณภาพและขนาดที่แตกต่างกันไป แม้ว่าจะมีโปรตีนสกิมเมอร์รุ่นใหม่ๆ ที่ทะยอยเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูเหมือนจะมีสิ่งที่ดีกว่าที่มีอยู่ อยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น แต่การเลือกสกิมเมอร์ซักตัวอย่างชาญฉลาด ควรเลือกซื้อที่เหมาะกับขนาดของตู้ทะเลที่นักเลี้ยงมีอยู่ โดยให้คำนึงถึงกำลังงานที่สัมพันธ์กับการจุของน้ำเป็นหลัก โปรตีนสกิมเมอร์ นั้นควรเลือกให้ถูกกับระดับการทำงาน ไม่เช่นนั้น การมีโปรตีนสกิมเมอร์ก็อาจไม่ได้ช่วยมากนักกับการกำจัดปริมาณของเสีย ที่อยู่ในตู้ทะเล อย่างไรก็ตาม เราควรวางแผนการเลือกให้ดีเพื่อจะ ให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเงินที่เสียไป


ประเภทของโปรตีนสกิมเมอร์

Air Driven

Venturi

Downdraft

สกิมเมอร์แบ่งออกได้ 4 ชนิด คร่าวๆ คือ ชนิดธรรมดา (air-driven), ชนิดคอคอด (venturi), ชนิดเเป่าลง( downdraft ) และชนิด อื่นๆ สกิมเมอร์แต่ละชนิดมีแบบอย่างการทำงานที่แตกต่างกันออกไป สกิมเมอร์ที่เป็นที่นิยม ของนักเลี้ยงตู้ทะเล ระดับ Home Aquarium ในขณะนี้ คือ ชนิดคอคอด (Venturi) ซึ่งได้รับการยอมรับว่าทำงานได้ดีและเหมาะสม ที่สุดในระดับตู้ทะเลขนาดกลาง


การทำงานของโปรตีนสกิมเมอร์


โปรตีนสกิมเมอร์ทำงานโดยการสร้าง “ฟอง” ในหลอดปฏิกิริยา(ตัวเครื่องของสกิเมอร์) เข้าไปผสมกับน้ำที่ไหลผ่านและจับเอา สารประกอบอินทรีย์ที่เป็นของเสียออกจากน้ำ และฟองเหล่านั้นจะถูกดันขึ้นข้างบนจากแรงดันของน้ำ จนล้นออกไปที่ถ้วยรับของเสีย การทำงานลักษณะนี้เป็นหลักการง่ายๆ ที่สามารถรักษาความสะอาดของน้ำในตู้ทะเลได้เป็นอย่างดี โดยของเสียเหล่านี้จะไปถูกเก็บ ไว้ในถ้วยเก็บของเสียในรูปของน้ำสีเขียวหรือสีน้ำตาล เพื่อรอการนำไปทำความสะอาดต่อไป


การบำรุงรักษาสกิมเมอร์

โปรตีนสกิมเมอร์จะสามารถปฏิบัติงานได้ดี ถ้าเราหมั่นบำรุงรักษาอยู่เป็นประจำ เครื่องจะสามารถทำงานได้อย่างดีและมี ประสิทธิภาพที่สุดเมื่อสะอาด และอยู่ในสภาพที่ปกติ ของเสียต่างๆที่อยู่ในถ้วยเก็บของเสียนั้นควรนำออกมาทำความสะอาด อยู่เป็นประจำ ส่วนตัวเครื่องสกิมเมอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องนั้นควรนำออกมาทำความอาดอย่างน้อยเดือนละครั้ง

-การทำความสะอาดปั๊ม การทำความสะอาดปั๊มที่ใช้สำหรับเครื่องโปรตีนสกิมเมอร์จัดว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อปั๊มทำงานไปนานๆนั้น ใบพัดที่อยู่ในตัวปั๊มจะโดนสิ่งสกปรกต่างๆมากปกคลุม ทำให้ปั๊มทำงานไม่เต็มที่ ส่งผลไปยังเครื่องให้ทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธภาพอีกด้วย ซึ่งบ่อยครั้งเราจะพบว่ามีคราบหินปูนเกาะอยู่ที่อุปกรณ์ด้านในของใบพัดในตู้ที่มีค่าแคลเซียมสูง การทำความสะอาดนั้น เราสามารถใช้แปรงสีฟันขัดคราบเหล่านั้น หรือ ใช้น้ำส้มสายชูละลายคราบหินปูนออกไป

-การทำความสะอาดคอคอดของสกิมเมอร์ (Venturi) ตรวจเช็คและทำความสะอาดวาวล์คอคอดของน้ำที่ไหลผ่านเข้าไป ในเคื่องโปรตีนสกิมเมอร์เพื่อ กำจัดสิ่งสกปรกที่เกิดขึ้นและเป็นแนวกีดขวางการทำงาน

-เปลี่ยนหัวฟองอากาศ (Air-driven) ควรเปลี่ยนหัวฟองอากาศทุกๆเดือน เพื่อให้ฟองอากาศที่ผลิตขึ้นเพียงพอต่อการขจัดของเสีย ออกจากตู้ทะเล

-ตรวจสอบairpump (Air-driven) สกิมเมอร์ต้องการฟองจากเครื่องปั๊มลมฉะนั้นควรตรวจสอบเครื่องปั๊มลมอยู่เสมอ ว่าอยู่ในสภาพที่สามารถทำงานได้เป็นปกติ


การคำนวณกำลังงานของสกิมเมอร์

อ่านคำอธิบายด้านล่างเกี่ยวกับการประเมินอัตราการพลิกกลับของน้ำ และเลือกระดับการพลิกกลับของน้ำที่คุณต้องการ เพื่อ นำไปคำนวณหากำลังงานของสกิมเมอร์ ที่เหมาะกับตู้ทะเลที่นักเลี้ยงตู้ทะเลทำการเลี้ยง ในกรณีการคำนวณนี้ หากผลออกมาแล้วพบว่ามีตัวเลือกของสกิมเมอร์ที่เหมาะกับตู้อยู่หลายตัว ให้เลือกตัวที่มีกำลังมากที่สุดในตัวเลือก ซึ่งจะเป็นการดีที่สุดต่อคุณภาพน้ำในตู้ การเลือกสิ่งที่ถูกต้องไปใช้กับการเลี้ยง จะเป็นผลดีต่อตู้ทะเลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว


การประเมินการพลิกกลับ (แทนที่) ของน้ำในตู้ทะเล

การกลับของน้ำ 1 ครั้ง ต่อ 1ชั่วโมง

เป็นการกลับมาแทนที่ของน้ำที่น้อยที่สุด การทำงานของโปรตีนสกิมเมอร์ระดับนี้ เป็นการทำงานที่แทบจะไม่มีผลกระทบใดๆต่อคุณภาพของน้ำเลย แต่ก็ยังสามารถกำจัดของเสียได้ในกรณีที่ตู้มีสิ่งสกปรกในระดับสูงมาก ยกตัวอย่างโปรตีนสกิมเอร์ในความต้องการนี้ สกิมเมอร์ที่ใช้ควรอยู่ที่ 300GPH สำหรับตู้ 300 แกลลอน.


การกลับของน้ำ 2 ครั้ง ต่อ 1ชั่วโมง

การกลับมาแทนที่น้ำในลักษณะนี้จะได้การทำงานที่ดีกว่า และ น้ำที่ในตู้ก็จะสะอาดกว่าระดับแรก สามรถกำจัดของเสียในระดับที่เป็นสารอินทรีย์ และ สามารถเพิ่มประมาณออกซิเจนให้กับตู้ทะเลอีกด้วย ยกตัวอย่างโปรตีนสกิมเอร์ในความต้องการนี้ สกิมเมอร์ที่ใช้ควรอยู่ที่ 300GPH สำหรับตู้ 150 แกลลอน.


การกลับของน้ำ 3 ครั้ง ต่อ 1ชั่วโมง

การกลับมาแทนที่น้ำในลักษณะนี้ถูกสร้างให้เป็นเครื่องกรองทางชีวภาพก่อนที่น้ำจะเข้าสู่ระบบกรองปกติของตู้ การกลับของน้ำ 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมงนี้ มีความเร็วเพียงพอต่อการกำจัดของเสียต่างๆระดับอณูอินทรีย์ และ สารแขวนลอย บางชนิดออกไปก่อนที่จะสะสมเป็นไนเตรท อีกทั้งยังสามารถกำจัดฟอสเฟตที่เป็นต้นเหตุของตะไคร่ต่างๆได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ยกตัวอย่างโปรตีนสกิมเอร์ในความต้องการนี้ สกิมเมอร์ที่ใช้ควรอยู่ที่ 300GPH สำหรับตู้ 100 แกลลอน.


การกลับของน้ำ 4 ครั้ง ต่อ 1ชั่วโมง

เป็นอัตราการกลับของน้ำที่เป็นอุดมคติ และเหมาะอย่างยิ่งในการใช้สำหรับการเลี้ยงตู้ทะเลที่มีปะการัง ส่วนใหญ่ การกลับของน้ำระดับนี้ จะได้คุณภาพ น้ำที่ดีสำหรับ ปะการังอ่อน ปะการัง LPS ปลา และสิ่งที่มีชีวิตในตู้ทะเล เราถือว่าการกลับของน้ำระดับ 4 นี้ว่าเป็นการกลับของน้ำระดับสูง ที่สามารถกำจัดของเสียได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ออกซิเจนที่เพิ่มให้กับน้ำในการกลับของน้ำในระดับนี้ จะสามารถช่วงพยุงค่า pH ได้ดี ความสามารถการกำจัดปุ๋ยฟอสเฟต และควบคุมการเกิดของตะไคร่ได้ดี น้ำที่ได้จะสะอาด และมีคุณภาพดี ทั้งยังช่วยให้ค่า พารามิเตอร์ ของน้ำ (water-quality) ของตู้คงที่มากอีกด้วย ยกตัวอย่างโปรตีนสกิมเมอร์ในความต้องการนี้ สกิมเมอร์ที่ใช้ควรอยู่ที่ 300GPH สำหรับแท็งก์ 75 แกลลอน.


การกลับของน้ำ 5 ครั้ง ต่อ 1ชั่วโมง

เป็นระดับการกลับของน้ำในอุดมคติที่เหมาะสำหรับตู้ทะเลที่เลี้ยงปลาอย่างเดียว (fish only) เป็นอย่างยิ่ง เพราะสามารถขจัดของเสียเกือบทุกชนิดที่เป็นอันตรายต่อปลา และ ควบคุมค่าน้ำได้คงที่ แต่ไม่เหมาะสำหรับตู้ทะเลที่เลี้ยงประการัง (Reef tank) เพราะการกลับระดับนี้สามารถรักษาสารอณูอินทรีย์ในตู้ได้น้อยเกินไปสำหรับปะการัง น้ำในตู้จะสะอาด เป็นประกาย และมีความอิ่มตัวออกซิเจนที่สูง การกำจัดปุ๋ยฟอสเฟตสูงมากทำให้ไม่เกิดปัญหาเรื่องตะไคร่ ความสเถียรภาพของน้ำในตู้สูง ยกตัวอย่างโปรตีนสกิมเมอร์ในความต้องการนี้ สกิมเมอร์ที่ใช้ควรอยู่ที่ 300GPH สำหรับแท็งก์ 60 แกลลอน.


การกลับของน้ำ 6 ครั้ง ต่อ 1ชั่วโมง

คือปริมาณาการกลับตัวของน้ำที่สูงมาก คุณภาพของน้ำจะคงที่ตามการผลิตหรือแหล่งที่มาของน้ำ มีระดับออกซิเจนสูง เหมาะสำหรับการขนส่งสัตว์น้ำ ในรถบรรทุกที่ใหญ่ สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับตู้ SPS เพราะมีการกำจัดฟอตเฟตสูงที่สุด และช่วยควบคุมการเปลี่ยนแปลงของค่านำได้ดีที่สุดอีกด้วย ยกตัวอย่างโปรตีนสกิมเมอร์ในความต้องการนี้ สกิมเมอร์ที่ใช้ควรอยู่ที่ 300GPH สำหรับแท็งก์ 50 แกลลอน.


สูตรการคำนวณขนาดของสกิมเมอร์เพื่อใช้ในตู้ทะเล

ระดับการกลับของน้ำในตู้ที่นักเลี้ยงตู้ทะเลต้องการ x ปริมาตรน้ำในตู้ (แกลลอน) = ขนาดของสกิมเมอร์ที่จะต้องใช้


ตัวอย่างการคำนวณ เช่น เลือกการกลับมาแทนที่ของน้ำเพื่อต้องการผลในระดับ 4 ครั้งต่อ 1 ชั่วโมง และ ระดับน้ำในตู้ของนักเลี้ยงมีปริมาตร 180 แกลลอน (US) จะคำนวณได้ดังนี้


4(การกลับของน้ำที่ต้องการ) x 180 (ปริมาณน้ำในตู้:แกลลอน) = 720 GPH (กำลังงานของสกิมเมอร์ที่ตู้ต้องการ)
ฉะนั้น กำลังงานของสกิมเมอร์ คือ ระดับ 720 GPH เพื่อให้คุณภาพน้ำในตู้ได้ประสิทธิผลตามระดับการกลับน้ำที่ 4

ระบบกรองน้ำในตู้ทะเล Part2

Part 2: Filter systems ( 2 )


ในภาคก่อนได้กล่าวถึงระบบโดยทั่ว ๆ ไปของการกรองในตู้ทะเลและอธิบายเกี่ยวกับการกรองแบบชีวภาพและการกรองเชิงกล กรองโดยใช้สาหร่ายและกรองอาศัยพื้นที่ผิว การกรองแอโรบิคแบบไม่จมน้ำ ในส่วนนี้เราจะกล่าวถึงกรองแบบ trickle filter , การกรองไนเตรต และการแยกโฟมอินทรีย์

The trickle filter
trickle filter ( trickle = ไหลริน ๆ ) เป็นกรองที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้มาก เพราะมีการดึงอากาศผสมน้ำสูง หรือก็คือมีออกซิเจนละลายสูง ใช้เพื่อการย่อยสลายสารประกอบไนโตรเจนอย่างรวดเร็วเทียบกับการกรองแบบอื่น การกรองแบบน้ำไหลรินนี้ แบ่งเป็น 2 แบบ ติดตั้งภายใน และ ติดตั้งกับช่องพิเศษ สามารถขยายขนาดช่องกรองได้ การกรองแบบนี้ประกอบด้วยการกรองหลาย ๆ ชนิดรวมกัน คือ surface filter, trickle filter column, surface filter และ carbon ใน sump และยังสามารถรักษาควบคุมระดับน้ำโดยอาศัยสวิตช์ลอยน้ำ และยังใส่เครื่องกรองโปรตีนขนาดเล็ก หรือใส่ตัวอิเล็คโตรดไว้วัดค่าต่าง ๆ ของน้ำตลอดเวลา


พื้นของช่องกรองควรมีพื้นผิวขนาดใหญ่ และไม่ควรปล่อยให้มีสภาวะไร้ออกซิเจน เศษเปลือกหอย เซรามิก ดินอัดเม็ด โดโลไมท์ และไบโอบอลถูกนำมาใช้ Bioball ที่ดีต้องมีพื้นที่ผิวหน้าของมันมีความสามารถทำให้ของเหลวกระจายตัวได้ดี และลดความแรงกระแสน้ำได้ ต้องการพื้นที่เพียงเล็กน้อย และยังมีอายุการใช้งานไม่จำกัด บริเวณที่ใส่ไบโอบอลควรประมาณ 3-5 % ของปริมาตรตู้ เพื่อที่จะให้มีอัตราการเกิดการและเปลี่ยนออกซิเจนสูงสุด น้ำที่ผ่านควรผ่านตะแกรงแยกกระแสน้ำก่อน หรือผ่านเครื่องพ่นฝอยหรือแขนกลที่หมุนรอบ ๆ ปั๊มที่นำน้ำไหลผ่านก็เช่นกัน ควรมีแรงมากพอที่จะทำให้เกิดการกรองมีประสิทธิภาพและคงที่ ควรหลีกเลี่ยงการล้างหรือทำให้วัสดุกรองแห้ง ควรให้น้ำไหลเวียนเท่ากับปริมาตรตู้ทั้งตู้ 1 ครั้งในทุกชั่วโมง
ข้อได้เปรียบของการกรองชนิดนี้ 1) ขึ้นกับปริมาณออกซิเจนที่เติมให้ หรือปริมาณออกซิเจนที่มีละลายอยู่ 2) จัดพื้นที่ให้แบคทีเรียที่ใช้ออกซิเจนลงเกาะได้ เหมาะสม และ 3) แร่ธาตุรองยังคงอยู่และนำกลับมาใช้ในขบวนการของวัฏจักรแร่ธาตุ
ารทำงานของแบคทีเรียที่มีประโยชน์
จากที่ได้กล่าวถึงการกรองแอโรบิคแบบจมและลอยน้ำ ขบวนการกำจัดไนโตรเจนที่อาศัยความช่วยเหลือของ แบคทีเรีย nitrosomonas และ nitrobacter เกิดการเปลี่ยนแปลงของแอมโมเนียมหรือแอมโมเนียกลายเป็นไนไตรท์ หรือไนเตรท ผลสุดท้ายของขบวนการ nitrification นี้จะให้ออกมาเป็นไนเตรท สาหร่าย เช่น zooxanthelle ที่อาศัยในเนื้อเยื่อสัตว์ เช่นพวก anthozoa ( ปะการัง ดอกไม้ทะเล ฯลฯ) จะใช้ไนเตรทแต่ในอัตราที่จำกัด การกำจัดไนเตรตยังสามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณฐานล่างของหินเป็น (denitrification) แต่สำหรับ สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่า เช่น ปะการังเขากวาง ปริมาณไนเตรทสูงสุดที่จะทนได้คือ 30 มิลลิกรัมต่อลิตรของไนเตรท ในตู้ทะเลที่เลี้ยงเอาไว้ ไนเตรทมักขึ้นถึงระดับนี้ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่คาดคิดมาก่อน

เราสามารถลดระดับไนเตรทที่สูงขึ้นได้อย่างไร
- เริ่มต้นจัดตู้โดยใช้หินเป็น
- เลี้ยงปลาให้มีจำนวนน้อย
- เปลี่ยนน้ำโดยใช้น้ำจืดที่ผ่านกรรมวิธีการบำบัดโดยออสโมซิส และใช้เกลือทำน้ำทะเลที่มีคุณภาพ
- ใช้เครื่องกำจัดโฟมอินทรีย์ (หรือโปรตีนสกิมเมอร์)

การกรองกำจัดไนเตรท


การกรองกำจัดไนเตรท ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันหรือลดปริมาณไนเตรทที่เกิดขึ้นในตู้ ระหว่างกระบวนการ denitrification ไนเตรทจะถูกทำให้แตกตัวเป็น โมเลกุลของไนโตรเจน (N2) และ ออกซิเจน โดยแบคทีเรียที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งสองสภาะ(มี/ไม่มีออกซิเจน) ก๊าซไนโตรเจนจะลอยออกจากระบบ และโมเลกุลอิสระของออกซิเจน จะถูกนำไปออกซิไดซ์สารอินทรีย์ภายใต้สภาสะที่ไร้ออกซิเจนจากอากาศ หรือเรียกได้ว่าเป็นการหายใจอาศัยไนเตรท ตราบเท่าที่ยังมีปริมาณออกซิเจนละลายอยู่มันจะถูกนำมาใช้โดยแบคทีเรีย แต่ทันทีที่ไม่มีออกซิเจนละลาย มันจะเปลี่ยนมาใช้การหายใจโดยไนเตรท มองในเรื่องพลังงานที่เกิดขึ้นจะพบว่าเกิดพลังงานจากการหายใจสำหรับดำรงชีวิตน้อยกว่า เพื่อจะให้ภาวะไร้ออกซิเจน เกิดสมบูรณ์ แบคทีเรียจะต้องอาศัยคาร์บอนจากแหล่งพลังงานส่วนอื่นเพิ่มเติม และแน่นอน ต้องไม่ใช่ชนิดที่มีไนโตรเจนและฟอสฟอรัสผสมอยู่
การติดตั้งกรองไนเตรทเป็นปัญหาที่ใหญ่ กว่าที่แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจนจะเจริญเติบโตจะต้องใช้เวลาเป็นหลายสัปดาห์ เมื่อถึงจุดที่ออกซิเจนที่ละลายน้ำถูกใช้หมดและอัตราการเผาผลาญพลังงาน(เมตาบอลิซึ่ม) ของแบคทีเรียเกิดขึ้นเต็มที่ ในตอนนี้ต้องเติมคาร์บอนจากสารอินทรีย์ให้ได้เท่ากับปริมาณที่ถูกใช้ไป(เช่น แอลกอฮอล์ น้ำตาลแลคโตส กรดอะซีติก) การกะปริมาณให้พอเหมาะไม่ใช่ง่ายเลย เราสามารถควบคุมสภาวะของออกซิเจนและธาตุอาหารโดยวัดค่าความต่างศักย์รีดอกซ์ (redox potential หรือ ORP) ในกรองไนเตรทได้ ค่ารีดอกซ์ที่อยู่สูงมากกว่า -50mV บ่งบอกว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะเกิด denitrification น้ำที่ผ่านออกมาจึงวัดไนเตรทได้อยู่แบะบางทีก็สูงขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ต่อเมื่อค่ารีดอกซ์ลดต่ำลงกว่า -50mV จึงจะเกิด denitrification ได้ แต่เมื่อไรที่มันตกเกินกว่า -200mV ก็จะเกิดกลิ่นของก๊าซไข่เน่า hydrogensulphide ขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการเกิดก๊าซที่มีพิษอย่างรุนแรงเช่นนี้ เมื่อมันเกิดขึ้นสามารถแก้ได้โดยการเพิ่มการไหลเวียนของน้ำเข้าให้มากขึ้น จะทำให้เพิ่มปริมาณของออกซิเจนและไนเตรทที่จะถูกนำไปใช้ได้ ป้องกันแบคทีเรียที่จะนำซัลเฟตมาใช้แทน ปกติการไหลของกระแสน้ำในเครื่องกรองไนเตรทจะต้องช้ามากๆ แบคทีเรียจึงจะดึงไนเตรทไปใช้ได้สมบูรณ์ ลดปริมาณออกซิเจนได้ดี (กรณีน้ำไหลเข้าเร็วเกินไปหรือให้สารประกอบคาร์บอนอินทรีย์น้อยไป จะทำให้ตรวจพบไนเตรทในน้ำที่กรองแล้ว) อัตราการไหลของน้ำที่ใช้ได้คือ ปริมาตรน้ำของทั้งหมดหมุนเวียนใน 1-2 สัปดาห์เมื่อกรองไนเตรทสามารถกรองได้อย่างมีประสิทธิภาพจนตรวจไม่พบไนเตรทในน้ำที่ผ่านออกมา โดยทั่วไปก็จะสามารถคงสภาพของไนเตรทใในตู้ให้มีปริมาณต่ำได้ น้ำที่ผ่านออกจากกรองไนเตรทควรคืนใส่ตู้โดยผ่าน trickle filter หรือเครื่องกำจัดโฟม(สกิมเมอร์) เพื่อที่จะกำจัดก๊าซที่เป็นพิษ
ผลดีข้างเคียงที่เกิดขึ้นที่ยังไม่ได้กล่าวถึงสำหรับกรองไนเตรทคือ แร่ธาตุรอง (trace element) ที่ตกตะกอนจับเป็นก้อนก็จะบะลายออกมาในสภาวะที่ไร้ออกซิเจนที่เกิดขึ้นในที่กรอง
กรองไนเตรท ประสิทธิภาพและความคงที่ของกรองไนเตรท (หรือบางยี่ห้อมีถุงเก็บแอลกอฮอล์ไว้สำรองด้วย) ต้องการพื้นที่เพียงเล็กน้อยสำหรับการติดตั้ง และราคาสมเหตุสมผล เหมาะสำหรับนักเลี้ยงที่วางแผนจะรอเวลานาน ๆ ที่กว่ามันจะเริ่มทำงานได้ หรือมีความสามารถพิเศษที่จะค่อย ๆเติมน้ำและธาตุอาหารคาร์บอนลงในปริมาณที่เหมาะสมได้ ทางผู้เขียนไม่แนะนำให้ใช้หากไม่มีเครี่องมือวัดค่ารีดอกซ์ (เครื่องวัด ORP ) เนื่องจากเป็นการทำงานที่ยากและไม่ปลอดถัยสำหรับสิ่งมีชีวิตในตู้



Foam removal
การกรองโฟมอินทรีย์


การกรองโฟมอินทรีย์หรือโฟมโปรตีนในตู้ทะเลใกล้เคียงกับการกำจัดสิ่งที่อยในน้ำของเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสีย หลักการคือการจัดเรียงตัวของโมเลกุลหรืออีกนัยคือจุดสัมผัสระหว่างผิวหน้าของอากาศกับน้ำ โมเลกุลสารอินทรีย่จะประกอบด้วยขั้วที่ชอบน้ำ (hydrophilic)-สามารถละลายน้ำได้ และขั้วที่ไม่ชอบน้ำ(hydrophobic)-ละลายน้ำยาก เมื่อให้เวลาสักระยะ โมเลกุลเหล่านี้จะติดอยู่กับฟองอากาศที่ลอยขึ้นภายในเครื่องกำจัดโฟม จากที่ขั้วที่ชอบน้ำจับกับน้ำ และขั้วที่ไม่ชอบน้ำจับกับอากาศ ฟองอากาศจะถูกทำให้ยากต่อการแตกเมื่อลอยพ้นผิวน้ำต่างจากฟองอากาศทั่วไป เฉพาะส่วนบน ๆ ของเครื่องกำจัดโฟมเท่านั้นที่มันจะแตกออก หรือรวมตัวเป็นเศษที่ประกอบด้วยเศษซากสารอินทรีย์ที่จะถูกดันขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และจะถูกเก็บไว้ในที่เก็บอีกอันเป็นลักษณะของน้ำสกปรกสีน้ำตาลเข้ม


The foam remover
เครื่องกำจัดโฟม (โปรตีนสกิมเมอร์ )


เครื่องกำจัดโฟมนี้อาศัยหลักการเดียวกันกับการกรองที่อธิบายไว้ข้างต้น มีจุดประสงค์เพื่อกำจัดอินทรียสารทั้งหมด เช่นที่เกิดจากสาหร่าย สัตว์ และอาหารที่ให้ แต่ในกรณีนี้อินทรียสารเหล่านี้ยังไม่ถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียมาก่อน แต่ถูกกำจัดออกโดยตรงผ่านทางกระบวนการทางกายภาพ เครื่องกำจัดโฟมที่ทำงานได้ดีจะสามารถป้องกันการสะสมของผลผลิตสุดท้าย(หรือกึ่งสุดท้าย) ที่เกิดจากการย่อยสลาย ที่เป็นพิษ ดังเช่นขบวนการกำจัดไนโตรเจน Nitrification หรือ denitrification
ตัวแทนจำหน่ายที่เชี่ยวชาญมักผลิตสินค้าชนิดนี้ออกมาหลายแบบ ตั้งแต่ชิ้นส่วนขนาดเล็ก ประกอบเข้ากับหัวฟู่ที่ใช้ด้วยกัน ที่จะปล่อยฟองอากาศสวนทางกับ น้ำที่ไหลเข้ามาสูงไม่ถึงเมตร และผลิตฟองอากาศขนาดเล็กจากเครื่องกระจายฟอง หรือหัวฉีดที่สามารถส่งน้ำได้เป็น 1,000 ลิตรต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ก็มีเครื่องกำจัดฟองขนาดเล็กที่เหมาะจะนำมาปรับให้เข้ากับตู้ปลา โดยไม่ต้องปรับปรุงรูปร่างของฝา ตู้ที่มีแต่ประการใด.


ก่อนที่จะพูดไปไกล ทุกอย่างดูเรียบง่าย เครื่องกำจัดโฟมที่มีกำลังดีก็จะแนะนำเนื่องจากมันสามารถกำจัดสิ่งสกปรกได้ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น และถ้ามีสิ่งสกปรกมาก (เช่นหลังให้อาหาร ) โฟมที่ออกมาก็จะเข้ม ในกรณีที่มลภาวะทางสารอินทรีย์น้อย มันก็จะทำงานน้อยลงเอง แต่อย่างไรก็ตามแร่ธาตุรองก็สามารถถูกกำจัดออกไปด้วยกันกับโฟมที่ออกไปจำนวนมาก จนเกิดการขาดขึ้นในระดับที่เราไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของในตู้ปะการังที่มีมลภาวะต่ำ มันเป็นไปได้และก็เป็นจริงเสียด้วย
นักเลี้ยงปะการังที่ประสลความสำเร็จมักยอมรับการใช้วิธีการเปลี่ยนน้ำจำนวนมากเพื่อเพิ่มปริมาณแร่ธาตุรอง วิธีการนี้ดูเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ นักเลี้ยงอื่น ๆ เลือกที่จะซื้อแร่ธาตุรอง (trace element )สำเร็จรูป ที่วางขายตามท้องตลาดมาใช้ ในการเติมแร่ธาตุรองพิเศษบางชนิด เช่น โมลิปดีนั่ม แมกนีเซียม และสตรอนเทียม ยังเป็นหัวข้อที่หาบทสรุปลงตัวไม่ได้ เนื่องจากเรายังไม่สามารถวัดความเข้มข้นของแร่ธาตุเหล่านี้ในน้ำที่เลี้ยง ในความเห็นของผู้เขียน ควรจะเติมมันอย่างระมัดระวังแต่เพียงน้อย คือเติมน้อยกว่าที่เขียนบ่งบอกไว้ในฉลากที่ติดมาด้วย
ข้อเสียเปรียบของเครื่องกำจัดโปรตีนคือใช้พลังงานมาก และมีการสูญเสียน้ำจากการระเหย (เท่า ๆกับที่เสียแคลเซียมคาร์บอเนตไป และเสียแพลงตอนที่ตามปกติก็จะขาดแคลนอยู่แล้วในตู้เลี้ยงอีกด้วย
ในวงของนักเลี้ยงตู้ทะเล หัวข้อของเครื่องกำจัดโฟม และ trickle filter เป็นหัวข้อที่ถามกันมามากในช่วง 2-3 ปีให้หลังมานี้ มันอาจเป็นตัวที่ยังคงเป็นตัวทำนายและสมมุติฐานของความสำเร็จของนักเลี้ยงได้ และมันก็จะเป็นตัวพิสูจน์รับรอง หรือไม่รับรองจากการวิจัยทดลองไปในระยะเวลานาน ๆ
การตัดสินใจที่จะเลือกใช้ trickle filter หรือ foam remover หรือใช้ทั้งคู่ ยังขึ้นกับชนิดและปริมาณของปลาและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่นักเลี้ยงตู้ทะเลหวังจะให้มันมีในตู้ของตัวเอง
ผู้แทนจำหน่ายด้านนี้มักมีตู้ที่ติดตั้งมาพร้อมกับ trickle filter , foam remover และกรองไนเตรท เข้าไว้ด้วยกัน ระบบแบบนี้เข้าได้ดี และมีประสิทธิภาพที่จะให้นักเลี้ยงแต่ละคนใช้ สินค้าที่ครบครันเหล่านี้ดูแพงในตอนแรก แต่เมื่อซื้อแยกแต่ละอันเมื่อชำนาญขึ้น ก็ไม่ได้ถูกกว่ากัน และยังยากที่จะติดตั้งให้ดูโอ่งโถงและสะดวกต่อการใช้ ในตู้เลี้ยงที่มี

disc anemone (คงเป็นพวกเห็ดติดหิน )

crustaceous anemone (อันนี้คงเป็นกระดุม)

ปะการังหนัง และปลาแมนดาริน กับปลาเล็ก ๆและอื่น ๆ อีกเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องกำจัดโฟมราคาแพง แต่ยังมีสารอาหารสำหรับ disc anemone และ crustaceous anemone อย่างไรก็ตาม ปะการังที่มีโครงร่างแข็ง เช่น ปะการังเขากวาง Acropora sp. , ปะการังแมว Pocillopora , Seriatopora , Styropora ปะการังโขด porites ต้องการน้ำที่มีแร่ธาตุอาหารต่ำที่จะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็ต้องการเครื่องกำจัดโฟมนี้.

ระบบกรองน้ำในตู้ทะเล

ระบบการกรองน้ำในตู้ปลาทะเล ภาค 1
Filter systems ( 1 )


ตู้ปลาก็เหมือนกับการตัดส่วนปะการังขนาดเล็กออกมา เช่นเดียวกัน ของเสียที่เกิดขึ้นจากเมตาบอลิซึ่มของสิ่งมีชีวึตทั้งพวกปลาและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยขับออกมาเป็นยูเรียและกรดยูริกพอๆกับแอมโมเนียที่เกิดขึ้น อาหารที่่ให้ สาหร่ายที่เน่าเปื่อย เหล่านี้เป็นเหตุให้ไนโตรเจนในตู้สูงขึ้น

ทำไมจะต้องมีการกรองด้วย?


ในแนวปะการังตามธรรมชาติเราจะพบสภาพสมดุลย์ทางชีวะ ทุกสิ่งขึ้นกับธรรมชาติ หลักการมีชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิตยังไม่พัฒนา หรืออีกนัยหนึ่งจะถูกแทนที่โดยสิ่งมีชีวิตอื่นตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ในตู้ปลา ทุกสิ่งมีอยู่โดยความตั้งใจของผู้เลี้ยง สิ่งมีชีวิตจากท้องทะเลถูกนำขึ้นมา บาดเจ็บจากการขนส่ง นำมาลงในตู้ที่มีน้ำทะเลเทียม แสงจากหลอดไฟ ไม่มีความสมดุลทางชีวภาพ และอาจเป็นศัตรูกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น

ความจริงที่เราจะทำให้ตู้ปลางดงามและดำเนินต่อไปได้จะต้องประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตจากมหาสมุทรที่ปรับตัวได้หลากหลาย อาศัยเทคโนโลยีการเลี้ยงปลาตู้ และความชำนาญของมืออาชีพที่จะควบคุมปัจจัยที่มีผลกระทบ ในตู้ปลาระะบบปิดขนาดเล็กที่แออัดเต็มไปด้วยปลาและก้นตู้ ต้องการๆกรองน้ำหรือการกรองหลายๆระบบร่วมกันในสัดส่วนพอเหมาะที่จะรักษาคุณภาพน้ำไว้ได้ หรือกำจัดของเสียและสารพิษ จะเลือกระบบการกรองแบบใดขึ้นกับปริมาณความหนาแน่นของสิ่งมีชีวิตและคุณภาพน้ำที่ตั้งเป้าไว้อย่างเพียงพอที่จะดูแลสิ่งมีชีวิตในตู้ได้

อะไรคือการกรองในตู้ปลาและอะไรที่จะให้เราทำได้สำเร็จ?


การกรองในตู้ปลาทะเลเราไม่เพียงแต่กำจัดสิ่งที่ลอยอยู่ในน้ำ หรือทำให้สิ่งปฏิกูลลดความเป็นพิษลงตามวิธีชีวเคมีเท่านั้น แต่เรายังคำนึงด้วยว่าจะให้สิ่งเหล่านี้นำกลับมาใช้อย่างมีประโยชน์ได้อย่างไร
สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นไปได้ผ่านความช่วยเหลือของแบคทีเรีย เราแบ่งแบคทีเรียอย่างหยาบๆได้เป็น 2 กลุ่ม แบคทีเรียที่ใช้อากาศ [aerobic bacteria] ซึ่งต้องการโมเลกุลของออกซิเจน และแบคทีเรียที่ไม่ใช้อากาศ [anaerobic bacteria] ที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่ปราศจากออกซิเจน และใช้ออกซิเจนที่เป็นองค์ประกอบของสารเคมี เช่น ไนเตรต แทน อย่างไรก็ตาม แบคทีเรียทั้งสองชนิดนี้มีหน้าที่แตกต่างกัน แบคทีเรียที่ใช้อากาศจะทำการออกซิไดซ์ (เติมออกซิเจน)ให้กับสารประกอบไนโตรเจนเช่น แอมโมเนีย แอมโมเนียม กลายเป็นไนไตรต์ และไนเตรต และในทางตรงกันข้ามแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจนจะรีดิวส์ไนเตรตเป็นไนไตรต์ร่วมไปกับก๊าซไนโตรเจน ที่เราเรียกรวมๆว่า ขบวนการดีไนตริฟิเคชั่น(denitrification=เปลี่ยนให้ได้ไนโตรเจนคืนมา)
การกล่าวถึงการทำงานของแบคทีเรียข้างต้นเป็นเพียงการกล่าวแค่ผิวเผินเท่านั้น ในตู้เลี้ยงปะการังจะมีความซับซ้อนทางชีวเคมีอยู่อีกมากแต่เราจะไม่ลงลึกออกไปจากหัวข้อไปถึงขนาดนั้น

หินที่มีชีวิต เป็นส่วนประกอบสำคัญมากในตู้ทะเล
ประชากรในตู้มิได้กล่าวถึงเฉพาะปลาและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเท่านั้น แต่เรายังรวมถึงหินที่มีชีวิต(หินเป็น)ที่จะสร้างแนวปะการังขนาดเล็ก ยิ่งมีหินเป็นในตู้หรือระบบหมุนเวียนเท่าไรระบบก็ยิ่งเสถียรมากขึ้นเท่านั้น หินเป็นประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถย่อยสลายอาศัยอยู่บนพื้นที่ผิวและภายใน ระดับออกซิเจนจะลดลงเรื่อย ๆ จากผิวนอกเข้าสู่ด้านใน ทำให้เกิดบริเวณที่มีการหายใจแบบใช้ออกซิเจนพอ ๆ กับที่ไม่ใช้


Relevant conclusions so far
บทสรุปยังอีกไกล


ตู้ที่เลี้ยงปะการังจะต้องมีคุณภาพน้ำที่เหมาะสมกับสิ่งที่อาศัย อยู่และจะต้องคงไว้ในระดับที่ตั้งไว้ วัสดุที่มีรูพรุนถูกนำมาใช้ เช่น หินเป็นสำหรับการก่อร่างสร้างปะการัง เปลือกหอยบด ปะการังหักและพื้นหินเป็นบริเวณที่ลงเกาะของแบคทีเรีย ยิ่งเป็นวัสดุที่มีรูพรุนเท่าไร และยิ่งมีกระแสน้ำไหลผ่านมากเท่าไร จะยิ่งมีพื้นที่ให้สิ่งมีชีวิตจำพวกที่ทำการย่อยสลายมากเท่านั้น แล้วต่อไปนี้เราจะใช้ระบบการกรองแบบใดดี
Biological filtration
การกรองชีวภาพ


การกรองชีวภาพเป็นระบบกรองที่ใช้ออกซิเจน ( aerobic filters, เช่น ขบวนการ nitrification ) ของเสียจะถูกออกซิไดซ์โดยแบคทีเรีย โดยปกติไนเตรตไม่สามารถถูกย่อยสลายได้ด้วยขบวนการนี้นอกเสียจากวัสดุการกรองจะมีความหยาบมาก ๆ เทียบเท่าได้กับหินเป็นรวมทั้งต้องให้การไหลเวียนน้ำผ่านไปอย่างช้า แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ระบบการกรองที่เราวางแผนโดยวิธีนี้ การกรองแบบนี้ถูกออกแบบโดยการวางวัสดุกรองไว้ใต้น้ำตลอดเวลาโดยไม่ให้สัมผัสกับอากาศ ตัวอย่างที่เห็นได้ในการกรองของตู้น้ำจืดคือ กรองที่มีลักษณะคล้ายกับกระถางต้นไม้ pot filter และมีปั๊มน้ำเป็นตัวขับเคลื่อน น้ำผ่านชั้นกรองต่าง ๆ ที่มีรูพรุนขนาดต่าง ๆ กัน



เครื่องกรองแบบ pot filter

จากที่มีออกซิเจนสำหรับแบคทีเรียอยู่น้อย การกรองแบบนี้จึงไม่เหมาะสมสำหรับตู้ทะเล มันจะจำกัดประสิทธิภาพการกรองและการใช้งาน
ระบบกรองอีกประเภทคือ floor filter (หรือกรองใต้ทรายครับ ) ที่มีลักษณะคล้าย pot filter ทำงานโดยใช้การดูดน้ำจากตู้ มีชั้นของหินปะการังวางซ้อนกัน สอง ชั้น ความหนาประมาณ 1-5-10 ซม. และน้ำถูกดูดผ่านวัสดุกรองโดยปั๊มน้ำ และสามารถพบแบบที่มีการไหลทวนกันของน้ำกับอากาศหรือโอโซนอีกด้วย สิ่งเหล่านี้มีความสามารถการกรองดีกว่าเพราะมีออกซิเจนละลายมากกว่า บริเวณที่มีแบคทีเรียอยู่จะกว้าง แต่หลังจากใช้ไปนาน ๆ อาจมีสาหร่ายจำนวนมากเกิดขึ้นมา ถึงตอนนี้จำเป็นต้องทำการขัดล้างตู้ การกรองชนิดนี้จึงไม่สามารถทำให้นักเลี้ยงตู้ทะเลประสบความสำเร็จได้

Mechanical filters
การกรองกายภาพ


อย่างที่กล่าวไว้แต่ต้นเกี่ยวกับ pot filter การกรองแบบกายภาพสามารถเอาสิ่งแปลกปลอมที่ลอยอยู่ในน้ำออกไป การกรองแบบนี้สามารถติดตั้งภายในหรือภายนอกตู้ก็ได้ มันสามารถใช้เป็นตัวกรองเบื้องต้น (prefiltration ) ให้กับ biofilters หรือติดตั้งแยกไว้ต่างหากใช้กรองร่วมกัน จะช่วยลดภาระของ biofilter ลงได้จากที่มลภาวะถูกกำจัดไปส่วนหนึ่งโดยการกรองแบบกายภาพ
การกรองแบบนี้ช่วยจัดการกับจุลสาหร่าย (สาหร่ายขนาดเล็ก)ที่ตาย และลอยอยู่บนผิวน้ำเท่า ๆ กับการเกิดสาหร่ายและตะกอนขนาดเล็กบนหินเป็น การทำให้การกรองแบบนี้ได้ผลดีต้องการแรงดูดที่แรง เช่น มีอัตราการหมุนเวียนของน้ำเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการทำความสะอาดวัสดุกรอง หากไม่ดูแลไป จะเกิดการหมักหมมของ ๆ เสียและเกิดการเน่า และเป็นปัญหาต่อระบบกรองแบบชีวภาพ
การกรองแบบกายภาพที่มีกำลังมาก (การไหลเวียนน้ำมาก-วัสดุกรองพรุน ) และมีการดูแลอย่างสม่ำเสมอ เป็นการกรองที่แนะนำสำหรับตู้ทะเล



Carbon filter
การกรองคาร์บอน (ผงถ่าน)


ถ่านคาร์บอน ใช้สำหรับดึงเอาสารที่ทำให้เกิดสี เช่นสีเหลืองของน้ำในตู้ สีเหลืองของน้ำไม่เพียงแต่เป็นสิ่งรบกวนสายตา มันยังลดคุณภาพแสงของตู้ลง ยิ่งไปกว่านั้น ถ่านคาร์บอนยังใช้ดูดสารพิษที่เกิดขึ้นในตู้
ถ่านคาร์บอนที่มีความสามารถดูดซับ ( Active carbon ) ควรใส่ลงในบริเวณที่มีน้ำหมุนเวียนในตู้เพียงชั่วคราวระยะเวลาสั้น ๆ มักจะใส่ในตาข่ายไนลอนใส่ลงในบริเวณพักน้ำ ( sump ) ของการกรองแบบ trickle filter หรือบริเวณที่มีน้ำใสของระบบกรองชีวภาพ biofilter ที่ไม่ควรใส่นานเกินไปเนื่องจากจะเกิดการกรองแบบกายภาพและชีวภาพขึ้นที่ตัวมัน ขึ้นกับความสามารถการดูดซับของถ่านคาร์บอนเอง



Algae filter
การกรองโดยใช้สาหร่าย


สาหร่ายชนิดที่เติบโตเร็ว เช่น สาหร่ายตระกูล Caulerpa ต้องการไนเตรตและฟอตเฟตเป็นปริมาณมากสำหรับการเติบโต เข้าได้กับของเสียที่เราต้องการจำกัดให้มีน้อย ๆ ในตู้ อย่างไรก็ตาม โลหะหนัก แร่ธาตุรอง (trace element) ก็จะถูกดูดซับโดยสาหร่ายชนิดนี้ด้วยเช่นกัน
ตู้ที่ปลูกสาหร่ายที่เติบโตเร็วไว้ ควรกว้าง และแบน ใส่เข้าร่วมกับวงจรการไหลของน้ำและให้แสงนีออนอย่างดี ประชากรสาหร่ายควรมีการตัดและเอาออกตลอด สิ่งนี้จะสามารถกำจัดมลภาวะในน้ำได้เป็นอย่างดี
ข้อควรระวัง ควรจะดูแลสาหร่ายสม่ำเสมอ เมื่อเกิดการตาย โดยเฉพาะกรณีของ Caulerpa racemosa (พวงองุ่น) เมื่อถึงเวลาจะคายมลภาวะที่ดูดซํบไว้อย่างทันทีทันได ทำให้เกิดการปนเปื้อนของน้ำและทำให้น้ำขุ่นได้

Surface filtration
การกรองผิวน้ำ


การกรองแบบนี้อาศัยน้ำที่ล้นจากผิวน้ำเข้าสู่ trickle filter มีการกรองจำนวนไม่มากที่มีการดึงน้ำจากผิวหน้า การดึงน้ำจากผิวหน้ามากรองจะช่วยลดแผ่นของสาหร่ายหรือแบคทีเรียที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้ระบบ

Area filtration
การกรองอาศัยพื้นที่


เรามักจะพบการกรองแบบนี้ร่วมไปกับกรองผิวน้ำของ trickle filters บริเวณนี้ได้แก่บริเวณทีมีเปลือกหอยในบริเวณกักน้ำ (sump ) กรองพื้นที่เป็นการองที่จมน้ำ ประกอบด้วยพลาสติกแผ่นตะแกรง และปักหุ้มบนเศษหินหรือโฟม 2-4 อันวางเรียงกัน สามารถวางได้ทั้งในแนวนอน หรือ แนวตั้ง การทำงานของมันช่วงแรกเป็นการกรองแบบกายภาพ ต่อมาจะเป็นการกรองแบบชีวภาพ จากที่มันสามารถลดความแรงของกระแสน้ำ ส่วนล่างของมันจะเป็นตัวเก็บสิ่งเน่า มีผลกับออกซิเจนที่ละลายอยู่ทำให้ ลดความแตกต่างของปฏิกิริยารีดอกซ์ (ปฏิกิริยาถ่ายเทอิเลคตรอนครับ ) การลดอาการของสิ่งที่เป็นปัญหาเหล่านี้จะต้องทำความสะอาดพื้นล่างและดูดสิ่งอุดตันบ่อย ๆ วิธีการนี้สามารถป้องกันเศษตะกอนกลับไปสู่ตู้เลี้ยงโดยการดึงเอาแผ่นพลาสติกแต่ละแผ่นออกมาทำความสะอาด โดยการทำความสะอาดบ่อย ๆ การกรองชนิดนี้จึงแนะนำให้ใช้ในตู้ทะเล

Emerse aerobic filters
กรองอากาศแบบไม่จม

การกรองชนิดนี้แตกต่างกับการกรองแบบจมที่รอบกรองจะไม่มีน้ำห่อหุ้มตลอดเวลา น้ำจะไหลล้นลงบนวัสดุกรองเป็นปริมาณต่าง ๆ กัน น้ำจะถูกเติมออกซิเจนเกิดเป็นประโยชน์ต่อแบคทีเรียที่เราต้องการในตู้



แสงสว่างกับตู้เลี้ยงปะการัง

พูดถึงเรื่องแสงสว่าง เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนมักจะลืมไปแล้ว ว่าเราอยู่ในโลกที่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์อยู่ คนเราใช้แสงสว่างในการมองเห็นและสังเคราะห์วิตามินดี ที่ผิวหนัง แล้ว แนวปะการังหละ ใช้แสงสว่างทำอะไร

ในแนวปะการังส่วนใหญ่และเกือบทั้งหมด ขึ้นในบริเวณที่น้ำทะเลไม่ลึกมาก แสงสว่างสามารถส่องถึง แนวปะการังจึงได้รับแสงเหล่านี้ และกลายเป็นผู้ผลิตอาหารป้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารในทะเลอีกทางหนึ่ง ครับ อย่างที่ทุกท่านได้ทราบมาแล้ว ปะการังส่วนใหญ่ จะมี สาหร่ายเซลเดียวมีนามว่า zooxanthellae อยู่ในเนื้อเยื่อ สาหร่ายชนิดนี้เป็นตัวการที่จะสังเคราะห์แสงทำให้ปะการังได้รับอาหารและเจริญเติบโต ได้ดี จนปะการังและสัตว์อื่น ๆบางชนิด ต้องอาศัยแสงสว่างเป็นพลังงานผ่านสาหร่ายตัวจ้อยในการดำรงชีวิตในแต่ละวัน และหากเราเอาปะการังแบบนี้มาเลี้ยงในตู้ จึงจำเป็นต้องเอาอาหารของมัน ก็คือแสงสว่างนี่เอง

ผลของการให้แสงสว่างกับตู้ปลา

1. มีการสังเคราะห์แสงของ zooxanthellae ในเนื้อเยื่อปะการัง ทำให้ปะการังได้อาหาร

2. มีการสังเคราะห์แสงของแพลงตอนพืช และสาหร่ายในตุ้ ทำให้แพลงตอนพืชเติบโต ดูดซับแร่ธาตุต่าง ๆ ทั้งไนเตรต ฟอสเฟต แล้วขยายพันธุ์ เป็นอาหารให้แพลงตอนสัตว์ และปะการังอีกหลายชนิด

3. ทำให้สาหร่ายขนแมว และ ตะไคร่ ไดอะตอม สังเคราะห์แสงได้อาหาร เติบโต ทำให้ปกคลุมตู้และตู้ปลาไม่สวย

4. ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางเคมี photochemical ต่อสารต่าง ๆ ในตู้ปลา โดยเฉพาะสารประกอบพวก Dissolved Organic Material ( DOM ) ที่ทำให้น้ำมีสีเหลือง เกิด photodegradation ทำให้สลายตัวและน้ำมีสีเหลืองน้อยลง (Nina Corin 1999 )

5. Ultraviolet จากแสงสว่าง ช่วยฆ่าเชื้อโรคในตู้ปลาได้

6. ส่องให้ตู้ปลาเกิดความสวยงาม

หลายท่านเวลามาถามว่า ตู้ที่เลี้ยงปลาอย่างเดียว จำเป็นต้องให้แสงสว่างไหม ด้วยเหตุผลข้อ 2,4 และ 5 ผมจะตอบว่า ควรให้ครับ และควรให้มาก ๆ ด้วย แต่หากถามว่าต้องให้แสงสว่างมากเท่ากับการเลี้ยงพวกก้นตู้สังเคราะห์แสงไหม ก็ไม่ขนาดนั้นครับ แต่หากได้แสงดี ๆ มาก ๆ สุขภาพปลาของท่านย่อมดีกว่าแน่นอน

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการเลี้ยงปลาทะเล


นอกจากอุปกรณ์พื้นฐาน คือ ตู้เลี้ยง อุปกรณ์ให้อากาศ ระบบกรอง แล้วสิ่งที่ผู้เลี้ยงปลาทะเล จำเป็นต้องมี คือ ตู้กักโรคปลา เครื่องวัดความหนาแน่นหรือความเค็มของน้ำ เทอร์โมมิเตอร์ ชุดทดสอบคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะชุดทดสอบแอมโมเนีย ชุดทดสอบไนไตรต์ ชุดทดสอบความเป็นด่างของน้ำ(Alkalinity) และความเป็นกรด-ด่าง(pH)
สำหรับผู้ที่จริงจังกับการเลี้ยงปลาทะเลอาจจะมีอุปกรณ์ต่างๆเพิ่มเติม ตามกำลังทรัพย์ที่มีอยู่ เช่น เครื่องทำความเย็นของน้ำ โปรตีนสกิมเมอร์ เครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวี หรือโอโซน รวมทั้งเครื่องมือหรือชุดทดสอบคุณภาพน้ำชนิดต่างๆเพิ่มเติม เช่น เครื่องวัดความเป็นกรด-ด่าง(pH) เครื่องวัดรีดอกซ์ ชุดทดสอบไนเตรต เป็นต้น ซึ่งวัสดุอุปกรณ์เหล่านี้จะทำให้การเลี้ยงปลาทะเลง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามแค่อุปกรณ์พื้นฐานที่กล่าวมาข้างต้นก็เพียงพอหากผู้เลี้ยงมีความเข้าใจและมีความเอาใจใส่ต่อการเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ถึงเวลาบอกลาความชรา



ถ้าถามสาวๆหลายๆคนว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับสาวๆ เชื่อว่าหลายๆคนคงจะตอบว่า กลัวความชรา เพราะทุกวันนี้มีทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกอาจทำให้สาวๆแก่ก่อนวัยอันควร วิธีชะลอความเสื่อมของสังขารนั้นไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของตนเอง โดยใช้วิธีง่ายๆที่เรียกว่า 3H ประกอบด้วย

  1. Healthy Weight รู้จักควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน โดยการหลีกเลี่ยงแป้งและน้ำตาล โดยเฉพาะอาหารในจำพวก ขนมปัง เค้ก เบเกอรี่ ส่วนน้ำตาลนั้น ควรหันมาบริโคสารให้ความหวานแทน สารเหล่านี้มีข้อควรระวังคือ ไม่ควรนำมาประกอบอาหารหรือถูกความร้อนสูงๆ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นทั้งในและต่างประเทศระบุว่า เมื่อสารให้ความหวานประเภทน้ำตาลเทียมได้รับความร้อนสูงๆ อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งได้ ดังนั้นการจะบริโภคน้ำตาลเทียมควรเลือกสารให้ความหวานที่ผลิตจากธรรมชาติ เช่น ชะเอมเทศ หรือ หญ้าหวาน
  2. Healthy Diet and Lifestyle บริโภคผักใบเขียววันละ 5 กำมือ และปลาทูอีก 2 ตัว เพราะอาหารเหล่านี้จะมีสารแอนติออกซิแดนซ์ และควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย
  3. Healthy Mind คือ ต้องมีกำลังใจที่ดี มีจิตและสมาธิอยู่กับปัจจุบัน โดยให้ฝึกหายใจเข้าลึกๆ ให้ท้องป่องและกลั้นหายใจสัก 4 วินาที จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกจะช่วยให้มีสติดีขึ้น ที่สำคัญคือ ควรรู้จักฝึกการใช้สมองสองซีกอย่างสม่ำเสมอ เพราะการที่ใช้สมองเพียงซีกเดียวจะทำให้เกิดความเสื่อมตามมา ที่น่าสนใจคือ ถ้าเรารู้สึกหิวนิดๆ จะทำให้โกร๊ธฮอร์โมนหลั่งออกมามากด้วย เพราะเมื่อร่างกายเริ่มหิวจะสั่งไปที่สมองให้หลั่งสารให้สมองรู้สึกโล่ง จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น การที่รู้สึกดีก็จะทำให้จิตใจดี ช่วยชะลอความแก่ไปในตัว






ช็อกโกแลตกับสุขภาพ

ถ้าพูดถึงขนมหวานที่ฉันชอบทานมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าเจ้าช็อกโกแลต คงจะมีไม่กี่คนที่จะรู้ว่าช็อกโกแลตดีกับสุขภาพอย่างไร เรามารู้กันเลยดีกว่าค่ะว่ามันดีต่อสุขภาพเราอย่างไร


ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าช็อกโกแลตนั้นดีไม่เท่าเทียมกัน ถ้าอยากได้ประโยชน์ด้านสุขภาพจากช็อกโกแลต อาจต้องลืมประเภทผสมกับคาราเมล มาร์ชเมลโล หรือที่มีครีมเคลือบเสีย แต่ควรหันไปทานช็อกโกแลตดำประเภทก้อนแทน


ประโยชน์ของช็อกโกแลตอยู่ตรงที่สารฟลาโวนอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากชนิดหนึ่ง ช็อกโกแลตดำจะมีส่วนผสมของโกโก้สูงที่สุดและสูงกว่าช็อกโกแลตนมหรือช็อกโกแล็ตขาว ถ้าช็อกโกแลตยิ่งมีโกโก้มากเท่าใด ปริมาณสารฟลาโวนอลก็มีมากขึ้นด้วย


มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าม่อนำช็อกโกแลตดำมาเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และไลฟ์สไตล์ด้านอื่นๆ ที่ดีต่อสุขภาพนั้น สามารถลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ โดยลด LDL หรือไขมันไม่ดี ลดความดันโลหิต และเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปที่สมองและหัวใจ


สารฟลาโวนอลนี้เป็นสารเดียวกันกับที่พบในไวน์แดง ที่ช่วยป้องกัน LDL หรือไขมันไม่ดีในหลอดเลือดจากการทำปฎิกิริยากับออกซิเจน จึงทำให้ลดการแข็งตัวและอุดตันของหลอดเลือด และชะลอการเกิดโรคหัวใจ และถึงแม้ว่าช็อกโกแลตจะมีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูง แต่พบว่าไขมันอิ่มตัวในช็อกโกแลตที่มีชื่อว่ากรดไขมันสเตียริก นั้นไม่ส่งผลให้โคเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้น


แต่ก็ขอเตือนด้วยว่าช็อกโกแลตดำ 100 กรัม มีพลังงานสูงถึง 531 แคลอรี ซื่งเท่ากับข้าวแกงจานหนึ่ง และถ้าจะเปรียบเทียบแอปเปิล 100 กรัม ให้พลังงาน 94 แคลอรีเท่านั้น ดังนั้นไม่ควรนำช็อกโกแลตมาทดแทนอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์เช่นเดียวกับไวน์แดงที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ถ้าดื่มไวน์แดงมากเกินไปจะส่งผลต่อตับและอาจทำให้ได้รับพลังงานมากเกินไป ช็อกโกแลตก็เช่นกัน ถ้ารับประทานมากทำให้ได้รับพลังงานและไขมันมาก อาจส่งผลร้ายมากกว่าผลดี คนไทยเราชอบรับประทานของหวานกันอยู่แล้ว ถ้าจะเปลี่ยนของหวานนั้นมาเป็นช็อกโกแลตดำบ้างก็จะดีต่อสุขภาพมากขึ้น



อย่าให้คนไทยอย่างเราห่างไกลความสุข

ทุกๆวันนี้เพื่อนๆเคยลองถามตัวเองไหมคะว่ามีความสุขกับชีวิตของตัวเองมากแค่ไหน เชื่อว่ามีหลายคนคงจะตอบว่าไม่มีความสุขเลยเนื่องมาจากปัจจัยหลายอย่าง และในตอนนี้ฉันจะมีวิธีการส่งเสริมสุขภาพจิตเพื่อช่วยแก้ไขให้ไม่มากก็น้อย

  1. อย่าปล่อยให้ใจและกายย่ำแย่ มีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ เมื่อเกิดปัญหาอย่าเพิ่งมองว่าทางออกมืดมน ควรพยายามขอความช่วยเหลือจากคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมไว้ก่อน แต่ถ้าเป็นคนที่เก็บตัว มีเพื่อนน้อย ก็อาจจะเป็นคนเสียเปรียบหน่อย แต่อย่างไรก็ตามแม้ไม่มีใครให้ปรึกษาก็ยังสามารถเดินเข้ามาปรึกษากับบุคลากรทางด้านสุขภาพจิตได้หลายช่องทาง
  2. หากคิดจะแก้ให้แก้ตรงสาเหตุ เมื่อพบว่าตนเองมีปัญหาด้านสุขภาพจิต ทำให้ชีวิตขาดความสุข การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุบางอย่างอาจช่วยบรรเทาความทุกข์ได้บ้าง เช่น วิธีการผ่อนคลายความเครียดทั่วๆไป หากมีความทุกข์ที่รุนแรงมากขึ้นแล้วนั้น หนทางที่สามารถแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการบำบัดจิตใจ นอกจากนี้การยึดหลักศาสนา เช่น อริยสัจ 4 ที่เน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแห่งทุกข์คงจะดีที่สุด
  3. รู้จักแต่งเติมสีสันให้แก่ชีวิตบ้าง แม้การใช้ชีวิตที่ราบเรียบเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน อะไรที่ราบเรียบจนเกินไปก็อาจทำให้ขาดรสชาติไปบ้าง ควรหากิจกรรมที่ทำให้เกิดความกระชุ่มกระชวย โดยที่ตนเองและคนรอบข้างไม่เดือดร้อน
  4. อย่าให้ความสามัคคีถูกทำลาย หากเกิดปัญหาทางด้านสุขภาพจิต เช่น ความเครียด ความเชื่อที่มักจะถูกครอบงำไปในทางที่ผิด การปักใจเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างที่ไม่สามารถจะยืดหยุ่นความคิดได้จะนำไปสู่ความแตกสามัคคีในที่สุด เมื่อสังคมแย่ คนในสังคมก็หาความสุขมิได้ ทางที่ดีควรเริ่มฝึกตั้งแต่เด็กๆ และหัดให้มองโลกในแง่มุมที่หลากหลาย การยอมรับและให้อภัยในความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
  5. ร่วมกันปลูกฝังความคิดใหม่ๆ แก้ไขความคิดเดิมๆให้หมดไป โดยเฉพาะค่านิยมที่บั่นทอนสุขภาพจิตที่ดี เช่น การมองว่าการบำบัดรักษาจิตใจเป็นเรื่องน่ารังเกียจหรือเรื่องน่าอับอาย การรณรงค์ให้เกิดการยอมรับผู้ที่เคยมีปัญหาสุขภาพจิตหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่ว่าเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และที่สำคัญคือ การให้ความรู้กับสังคมเพื่อให้เกิดความเข้าใจและยอมรับมากขึ้น

เครื่องประดับทำผิวหมดสวย

เพื่อนๆเป็นเหมือนฉันไหมคะ ว่าวันใดที่เพื่อนๆ ออกจากบ้านแล้วไม่ได้ใส่เครื่องประดับก็คงจะเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ถ้าเป็นฉันอย่างน้อยต้องมีตุ้มหูอย่างน้อยหนึ่งคู่จึงจะมั่นใจ วันนี้จะมีเรื่องมาฝากสำหรับเพื่อนๆ ที่รักการใส่เครื่องประดับคงต้องระวังกันแล้วค่ะ เพราะเครื่องประดับต่างๆ อาจทำให้ผิวของเรามีอาการแพ้ง่ายจนหมดสวยไปเลย


อาการที่ว่าคือการแพ้สารนิเกิลที่มีในเครื่องประดับโลหะ เช่น แหวน กำไล นาฬิกา ต่างหู สร้อยคอ เป็นต้น


การแพ้นิเกิลเป็นการอักเสบของผิวหนังจากการสัมผัสกับโลหะที่มีส่วนผสมของนิเกิล พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เกิดจากการสัมผัสโดยตรงจากเครื่องประดับที่มีส่วนผสมของนิเกิลอยู่ซึ่งการที่ผิวหนังอักเสบบ่อยจากการแพ้จะทำให้ผิวอ่อนแอและทำให้ผิวแก่ก่อนวัยในที่สุด


ปัจจุบันพบว่ามีคนที่แพ้สารนิเกิลเพิ่มขึ้นด้วยเพราะอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น บวกกับประเทศไทยเป็นประเทศที่ร้อนอยู่แล้วจึงทำให้เหงื่อออกมาก เหงื่อจะเป็นตัวละลายสารนิเกิลออกมาจากโลหะทำให้มีโอกาสสัมผัสกับผิวหนังได้มากขึ้น


ทางที่ดีจึงควรสังเกตอาการของตนเองว่าแพ้สารนิเกิลหรือไม่ โดยสังเกตจากอาการดังนี้คือ มีอาการคันใน 15-30 นาที หลังจากสัมผัสโลหะ จากนั้นจะพบเป็นผื่นใสหรือตุ่มแดง ลักษณะผื่นจะเป็นตุ่มนูนและตุ่มน้ำพองใส ถ้าเป็นในระยะเรื้อรังจะทำให้ผื่นผิวหนังนูนขึ้น มีสีคล้ำ ผิวไม่เรียบ มีขุย


การป้องกันที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสเพื่อไม่ให้เกิดการแพ้หรือใส่เครื่องป้องกันถ้าจำเป็น


ทางที่ดีที่สุดควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อให้มีภูมิต้านทานที่ดี จะได้ไม่เป็นสาวขี้แพ้จนหมดสวยค่ะ




ความรู้เกี่ยวกับหนูแฮมสเตอร์



คุณเคยเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ไหม ถ้ามีใครมาถามฉัน ฉันก็จะตอบว่าเคย ถึงแม้มันจะตายไปแล้วประมาณสองปี แต่ฉันก็ไม่เคยลืมมัน และในความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่ามันเป็นสัตว์ที่น่ารักมาก และวันนี้ก็จะมาแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับเจ้าหนูแฮมสเตอร์ให้เพื่อนๆฟังอย่างคร่าวๆค่ะ


แฮมสเตอร์ ถูกพบครั้งแรกที่ประเทศรัสเซีย เมื่อประมาณปี 1930 แต่ไม่เป็นที่นิยมในประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในตอนต้น จนกระทั่งปลายปี 1940 เป็นต้นมา แฮมสเตอร์จึงกลายเป็นสัตว์ที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย


แฮมสเตอร์มีรูปร่างคล้ายหมีขนาดเล็ก ขนของแฮมสเตอร์หนาและเป็นมันเมื่อเทียบขนบริเวณท้องจะบางกว่าขนที่อยู่ส่วนบนของร่างกาย แฮมสเตอร์ในอดีตจะมีศรีษะแคบและมีลักษณะคล้ายศรีษะหนู แต่หลังจากมีการผสมเพื่อคัดเลือกสายพันธ์ ปรากฏว่าศรีษะสั้นลงและกว้างขึ้น


ขาหน้าแต่ละข้างจะมีนิ้วเท้าสี่นิ้วและนิ้วติ่งข้างละ 1 นิ้ว และมีกรงเล็บที่แหลมคม นิ้วเท้าหลังได้ถูกพัฒนามาอย่างเต็มที่ กล้ามเนื้อที่แข็งแรงของขาหลัง ทำให้แฮมสเตอร์เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว


แต่รูปลักษณ์ที่ตรึงตาตรึงใจที่สุดของเจ้าแฮมสเตอร์คงเป็นเจ้ากระพุ้งแก้มนี่แหละ เนื่องจากกระพุ้งแก้มสามารถบรรจุอาหารได้อย่างเหลือเชื่อ เมื่อไรก็ตามที่กระพุ้งแก้มของแฮมสเตอร์อัดแน่นเต็มไปด้วยอาหาร ศีรษะของมันจะขยายออกเป็นสองเท่า ในลักษณะนี้มันมันจะมีรูปลักษณะไม่เหมือนสัตว์ใดๆในโลกนี้เลย กระพุ้งแก้มนี้อยู่ด้านข้างของศีรษะ คอ และไหล่ ซึ่งอยู่ใต้แถบสีดำพอดี ในขณะที่มีอาหารเต็ม กระพุ้งแก้มจะขยายตัวออกไปอีกอย่างน้อยหนึ่งนิ้ว ความสามารถในการยืดหดตัวของกระพุ้งแก้มที่เหลือเชื่อนี้ มักทำให้เจ้าของที่ไม่มี่ประสบการณ์เลี้ยงแฮมสเตอร์มาก่อนตกใจแทบทุกราย เพราะคิดว่าแฮมสเตอร์ของตัวเป็นโรคคางทูม


ผลจากการเพาะและพัฒนาสายพันธุ์ รวมทั้งการผ่าเหล่า จะเห็นได้ว่าแฮมสเตอร์มีสีสันหลากหลายเพิ่มขึ้น สีที่พบเห็นบ่อยได้แก่ สีขาว นอกนั้นก็มีสีครีม สีเทา สีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลแก่ และลายด่างแบบต่างๆ แม้สีจะแตกต่างกัน แต่รูปร่างจะไม่ต่างกันเลย


ทายนิสัยสาวๆจากของสะสม

สวัสดีจ้าเพื่อนๆ วันนี้จะมีเรื่องที่จะมาเล่าให้ชายหนุ่มฟังค่ะ บางทีเคยคิดไหมคะว่าแฟนสาวหรือคนที่เราตามจีบอยู่มีนิสัยยังไงและจะเข้ากับเราได้ไหม ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะที่เราจะรู้นิสัยเธอคนนั้น เพียงแค่เราสังเกตง่ายๆ คือ จากการสังเกตจากของสะสม และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะรู้แล้วว่าเธอคนนั้นมีนิสัยยังไงไปกันเลยค่ะ

                                               




ชอบสะสมแสตมป์ แสดงว่าคุณเป็นคนอนุรักษ์นิยมมาก เจ้าระเบียบ เป็นคนมุ่งมั่น บ้างานสุดๆ แต่ก็ประสบความสำเร็จนะ ข้อเสียก็คือ คุณออกจะเจ้ากี้เจ้าการมากไปหน่อย




ชอบสะสมหนังสือ คุณเป็นคนเงียบ ชอบการเรียนรู้ ฉลาด มีมุมมองกว้างไกล คนอื่นจะมองว่าคุณเงียบเรียบร้อย แต่ถ้าสนิทกับใครแล้วจะพูดเป็นต่อยหอยเลยทีเดียว

                                             


ชอบสะสมตุ๊กตา แสดงว่าคุณเป็นสาวขี้อ้อน มีจิตใจเมตตา เป็นคนมองโลกในแง่ดี ขี้สงสาร แถมบ่อน้ำตาตื้นอีกด้วย และความที่คุณมองโลกสดใสนี้เอง ทำให้ถูกหลอกได้ง่าย


                                               


ชอบสะสมของกระจุกกระจิก คุณเป็นคนมุ่งมั่น เอาจริง ชอบการเอาชนะ แต่แอบขี้อิจฉาเล็กๆ นอกจากนี้คุณยังชอบพึ่งพาคนอื่น ไม่ชอบพึ่งพาตนเองสักเท่าไหร่ จนคนอื่นแอบเม้าธ์ว่าคุณดีแต่ปาก

                                                                            

ชอบสะสมเครื่องประดับ เป็นคนบุคลิกอ่อนโยน บอบบางและอ่อนไหวง่าย แต่คุณมีจิตใจที่เข้มแข็งมาก ทำงานจริงจัง บางทีอดทนอดกลั้นมากกว่าผู้ชายเสียอีก ข้อเสียก็คือ คุณชอบเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เปลี่ยนความทุกข์เป็นความสุขกันเถอะ

คนเราทุกคนมีหลากหลายความรู้สึกปะปนกันไป มีทั้ง สุข เศร้า เหงา ทุกข์ ซึ้ง โมโห มากมายหลายแบบ แน่นอนว่าทุกคนไม่ต้องการมีความรู้สึกที่ไม่ดี เช่น ทุกข์ เศร้า เหงา แต่มันหลีเลี่ยงไม่ได้ วันนี้เลยแนะนำแนวคิดเพื่อทำให้ชีวิตปราศจากทุกข์ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือรักตัวคุณเอง ตั้งใจและทำสิ่งดีดีเพื่อตัวเองก่อนจะทำสิ่งดีดีให้คนอื่น ต่อมาคือต้องมองโลกในแง่ดี อันนี้เหมาะกับคนที่กำลังเศร้า ผิดหวัง การมองโลกในแง่ดี ทำให้คนเราทุกคนมีความหวัง และพลังในการใช้ชีวิต แต่ถ้ารู้สึกตัวเองไร้ค่า ไร้ประโยชน์ ให้นึกถึงสิ่งดีดีที่ตัวเองเคยทำไว้ เช่น ช่วยเหลือเพื่อน ทำบุญ ทำทาน เป็นต้น และคติที่ว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ก็จะทำให้คนเราหันหน้ามาต่อสู้กับความเป็นจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นให้นึกเพียงว่า ถึงอะไรจะเกิดขึ้น เราต้องผ่านมันไปให้ได้ เพราะปัญหาทุกอย่างมีทางออกของมันอยู่เสมอ และบางครั้งเราควรที่จะมองปัญหาของคนรอบ ๆ ตัวเรา เราจะพบว่ามีคนอีกเยอะแยะมากมายที่มีปัญหาเยอะกว่าเรา หนักกว่าเรา การมองรอบตัวเองคุณอาจจะเจอคนที่ช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้คุณอยู่ตลอด ถ้าพอมีเวลาว่างควรออกไปพักผ่อนตามแหล่งธรรมชาติกับเพื่อน หรือ ครอบครัวบ้าง เพียงแค่นี้ความทุกข์ของคุณที่คุณคิดว่ามันใหญ่ ไม่มีทางออก อาจจะเล็กไปเลยก้อได้

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ช็อกโกแลตกับสุขภาพ

ช็อกโกแลตแต่ละชนิดนอกจากจะให้ความหวาน อร่อย ต่อผู้ที่ได้ริมรสแล้วยังมีผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย ถ้าอยากได้ประโยชน์จากช็อกโกแลตแบบเต็ม ๆ อาจจะต้องลืมส่วนผสมบางประเภท เช่น คาราเมล มาร์ชเมลโล หรือที่มีครีมเคลือบเสีย แล้วหันกลับมารับประทานช็อกโกแลตดำประเภทก้อนแทน เพราะในช็อกโกแลตดำจะมีสารที่ชื่อว่า “สารฟลาโวนอล” ซี่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากชนิดหนึ่งที่พบใน “เมล็ดกาเกา”

เมล็ดกาเกา คือ วัตถุดิบในการผลิตช็อกโกแลตทำได้โดยการนำเมล็ดกาเกามาสกัดเอาไขมันโกโก้ออกมา แล้วนำไขมันที่ได้มาหมัก อบ และบดเป็นเนื้อเนียน นำมาผสมกับนมและน้ำตาลก็จะได้เป็นช็อกโกแลตแท่ง หรือ ก้อน

ช็อกโกแลตดำจะมีส่วนผสมของโกโก้สูงที่สุดและสูงกว่าช็อกโกแลตนมหรือช็อกโกแลตขาวถ้าช็อกโกแลตยิ่งมีส่วนผสมของโกโก้มากเท่าใด ปริมาณสารฟลาโวนอลก็จะมีมากขึ้นด้วย ซึ่งมีผลต่อสุขภาพ เพราะสามารถลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ โดยลด LDL หรือไขมันไม่ดี ลดความดันโลหิต และเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปที่สมองและหัวใจ จึงทำให้ลดการแข็งตัวและอุดตันของหลอดเลือด และชะลอการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เรื่อง กล้องโลโม่ (Lomo)

กล้องโลโม่นี้มีต้นกำนิดมาจากประเทศรัฐเซียค่ะ ส่วนคำว่า lomo นั้นย่อมาจากคำว่า Leningrad Optical Machinery Organization ค่ะ เอาคร่าวๆนะค่ะ คือสรุปได้ว่าจริงๆแล้วที่ประเทศรัสเซียนั้นผลิตกล้องโลโม่มานั้นเพื่อจะให้คนในประเทศเค้าได้มีกล้องใช้กันทุกคนเพราะตอนนั้นประเทศญี่ปุ่นผลิตกล้องคอมแพคออกมาแต่เนื่องากว่ามีราคาแพง ซึ่งแพงเกินไปที่จะแจกจ่ายให้คนในประเทศรัสเซียใช้ ดังนั้นประเทศรัสเซียจึงผลิตกล้องโลโม่ออกมาซึ่งเป็นกล้องที่มีราคาถูกกว่ากล้องคอมแพคของประเทศญี่ปุ่นมากค่ะ แล้วเหตุผลที่ประเทศรัฐเซียต้องการให้คนในประเทศของเค้ามีกล้องกันทุกคนก็เพราะว่าเพื่อให้คนในประเทศได้รู้จักการถ่ายรูปและพกกล้องโลโม่ไว้ติดตัวตลอดเวลาเพื่อที่ว่าเวลาเกิดเหตุการณ์สำคัญๆหรือสิ่งที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อนเราจะได้สามารถถ่ายรูปเหตุการณ์นั้นๆได้ทันเวลา

จุดเด่นของกล้องโลโม่นั้นคือภาพที่ได้จะแตกต่างจากกล้องทั่วไปค่ะ ยั่งไงหรอค่ะคือภาพที่ได้จะมีสีสันที่จัดเกินจิงค่ะเพราะว่าเลนส์ของกล้องโลโม่เป็นเลนส์ที่ค่อนข้างมีคุณภาพที่ต่ำดังนั้นภาพหรือสีที่ได้จะผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงค่ะ มาถึงตรงนี้เพื่อนๆหลายคนคงสงสัยว่าเอะ แล้วสรุปว่ามันจะดีหรอถ้าเป็นแบบนี้ คือก่อนอื่นเพื่อนๆต้องถามตัวเองก่อนค่ะว่าต้องการถ่ายรูปไปเพื่ออะไรเพราะถ้าเพื่อนๆต้องการถ่ายเอาไปเพื่อทำงานหรือต้องการความคมชัดของภาพก็ไม่ควรใช้กล้องโลโม่ถ่ายค่ะ แต่ถ้าเพื่อนๆต้องการถ่ายเล่นๆขำๆเพื่ออยากได้ภาพแปลกๆไปจากปกติที่เคยเห็นเพราะกล้องโลโม่นี้มีกฎอยู่ว่าถ่ายๆไปเถอะค่ะไม่ต้องคิดเยอะและก็ไม่ต้องเล็ง ดิชั้นก็ขอแนะนำให้ลองเล่นกล้องโลโม่ดูค่ะแล้วเพื่อนๆจะติดใจ แต่ขอบอกอีกนิดนึงนะค่ะว่ากล้องโลโม่นั้นไม่ใช่กล้องดิจิตอลใช้ฟิมล์ค่ะ ดังนั้นเพื่อนๆควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องรูรับแสงหน่อยก็ดีค่ะเพื่อที่จะได้ภาพที่สวยงามไม่ดำมืดจนเกินไปหรือสว่างจ้าจนมองไม่เห็นคนหรือวิวอะไรเลยค่ะ อ่ออีกอย่างหนึ่งค่ะเจ้ากล้องโลโม่นี้ก็มีด้วยกันอยู่หลายประเภทนะค่ะ เช่น lomo CL-A, Fisheye, Holga, Panorama, Diana F+ และอื่นๆอีกมากมายค่ะ ซึ่งแต่ละตัวก็จะให้ภาพที่แตกต่างไปคนล่ะแบบค่ะ

เรื่องการเก็บรักษากล้อง SLR

วิธีการเก็บรักษากล้องมีด้วยกันอยู่หลายวิธีด้วยกันค่ะ แต่ส่วนใหญ่แล้วมีด้วยกันอยู่ 3 วิธีค่ะ


วางกล้องไว้ในที่ๆมีอากาศถ่ายเทได้ค่ะ เช่น อาจจะวางไว้บนโต๊ะที่อากาศถ่ายเทได้ดีค่ะ แต่วิธีนี้เราต้องหมั่นดูแลกล้องบ่อยๆนะค่ะเพราะว่าถ้าหากว่าอากาศไม่ถ่ายเทเมื่อไร ราหรือฝ้าอาจะขึ้นเลนส์หรือกล้องเพื่อนๆได้เลยนะค่ะ แต่วิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยงในความคิดของดิชั้นค่ะ


เก็บกล้องไว้ในกล่องคับเปอร์แวพร้อมกับใส่ซิลิก้าเจลลงไปด้วยนะค่ะ เพราะถ้าเพื่อนๆไม่ใส่ซิลิก้าเจล ลงไปในกล่องด้วยแล้วนั้นจะทำให้กล่องนั้นกลายเป็นกล่องเก็บความชื่นทันทีค่ะ แล้วก่อนที่เพื่อนจะปิดฝานั้นควรใส่ไฮโกรมิเตอร์ลงไปด้วยนะค่ะเพื่อวัดระดับความชื่นภายในกล่องค่ะ วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีในการเก็บกล้องนะค่ะแล้วก็ประหยัดดีด้วยค่ะ


เก็บกล้องไว้ในตู้ดูดความชื่นค่ะ วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีค่ะเพราะเพื่อนๆสามารถกำหนดได้ว่าจะเก็บกล้องไว้ที่ระดับความชื่นเท่าไรเพราะตู้นี้จะสามารถปรับระดับได้เที่ยงตรงทีเดียวค่ะ แต่ข้อเสียของตู้ดูความชื่นนี้คือราคาค่อยข้างแพงค่ะแล้วแต่ขนานของตู้เล็กใหญ่ราคาก็จะแต่งต่างกันออกไปค่ะแล้วแต่ยี่ห้อด้วย


*   ซิลิก้าเจล     = มีลักษณะเป็นเม็ดๆค่ะ สีน้ำเงิน มีคุณสมบัติคือเป็นตัวช่วยดูดความชื่นค่ะ

** ไฮโกรมิเตอร์ = คล้ายๆกับเทอร์โมมิเตอร์ค่ะ แต่ไฮโกรนี่เอาไว้วัดความชื่นค่ะ  


เรื่อง เลนส์ (ตอนที่ 4)

ต่อจากคราวที่แล้วเราพูดเกี่ยวกับเลนส์ซูมไปแล้วสองชนิด คราวนี้เรามาต่ออีกสองชนิดกันค่ะ


เลนส์มุมกว้าง ( Wide – angle lens) เลนส์ตัวนี้เป็นเลนส์ที่มีความยาวโฟกัส สั้นกว่าเลนส์ธรรมดา จึงทำให้มุมของการถ่ายภาพได้กว้างกว่าใช้เลนส์ธรรมดาถ่ายมาก มีระยะความชัดมาก โดยยิ่งเลนส์มุมกว้างมากเท่าไหร จะทำให้สิ่งที่อยู่ใกล้โตและไม่ได้สัดส่วน(แต่สวยไปอีกแบบ) ส่วนมาก ใช้ถ่ายในสถานที่ๆจำกัดไม่สามารถตั้งกล้องให้ห่างจากที่ถ่ายได้มาก เช่น การถ่ายภาพสิ่งก่อสร้างสูงๆ หรือยาวมาก ๆค่ะ ซึ่งต้องการถ่ายอยู่ในภาพทั้งหมด เบื้องหลังของผู้ถ่ายมีสิ่งกีดขวางไม่สามารถถอยไปได้อีก เช่น ติดกำแพง แม่น้ำ แต่ส่วนใหญ่เราจะเอาเลนส์วายนี้ไปใช้ถ่ายพวกวิวกันค่ะ  โดยเลนส์เหล่านี้จะมีขนาดความยาวโฟกัสประมาณตั้งแต่ 10 - 35 มม.


เลนส์ตาปลา ( Fish eye lens) เลนส์ตัวนี้เป็นเลนส์ที่ให้ภาพที่มีลักษณะคล้ายภาพที่ปลามองเห็นเมื่อมองขึ้นมาจากในน้ำค่ะ เป็นเลนส์ที่กินมุมในการถ่ายภาพได้กว้างกว่าเลนส์ทุกชนิด คืออาจจะกว้างถึง 180 องศา เพื่อให้เกิดภาพนั้นผิดแผกแตกต่างไปจากภาพถ่ายธรรมดา และต้องการให้ภาพสะดุดตาแก่ผู้ที่ชมภาพค่ะ มุมของการถ่ายภาพจะกว้างกว่าธรรมดามากประมาณ 3-4 เท่า แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังในการถ่ายภาพชนิดนี้ คือเท้าของผู้ถ่ายจะติดอยู่ในภาพ ถ้าผู้ถ้ายืนในรัศมีของภาพนั้น วัตถุถ่ายด้านข้างในภาพจะดูใหญ่โตเวอร์ค่ะ เลนส์ชนิดนี้จะให้ช่วงความชัดลึกมาก แม้ตั้งระยะถ่ายไกลสุดก็ตาม เช่น เลนส์ที่ขนาดความยาวโฟกัสตั้งแต่ 10 มม. ลงมา

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สารพัดสิ่งปนเปื้อนในขนมอบตามร้านค้าปลีก

บรรดาขนมอบที่คุณมักแวะซื้อตามร้านค้าส่งหรือร้านค้าขายปลีก อาจจะไม่สะอาดและปลอดภัยอย่างที่คุณคิด!
เพราะล่าสุดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้สุ่มตรวจขนมอบที่วางขายตามร้านค้าส่งและร้านค้าปลีกมากกว่า 80 ตัวอย่าง
โดยเป็นขนมอบทั้งหมด 10 ประเภท เช่น พัฟเค้ก ไม่มีหน้า ขนมปังสอดไส้ โดนัท และขนมอบอื่น ๆ อีกมากมายพบว่า
ขนมอบ 26 ตัวอย่าง มีการปนเปื้อนของรา ยีสต์ และจุลินทรีย์สูงเกินกำหนด เนื่องจากขนมประเภทนี้มักมีปริมาณความชื้นในขนมสูง
จากการทาครีมหรือสอดไส้หลังจากการอบจึงทำให้จุลินทรีย์เติบโตได้ดี

ดังนั้นก่อนเลือกซื้อขนมจากร้านค้าต่าง ๆ ควรสังเกตขนมที่มีฉลากบอกวันผลิต วันหมดอายุและผู้ผลิตอย่างชัดเจน เป็นต้น มิฉะนั้นขนมอบชิ้นนี้อาจจะให้รสชาติอร่อยปากชั่วครู่ แต่ลำบากกายภายหลังในระยะยาว

รู้รึป่าวว่าประเทศที่มีคนอายุเฉลี่ยยืนยาวที่สุดคือ?

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เก็บรวบรวมและสถิติต่าง ๆ จากนานาประเทศทั่วโลก และจัดอันดับอายุเฉลี่ยของคนในแต่ละประเทศออกมา จากการจัดอันดับประเทศที่มีคนอายุเฉลี่ยยืนยาวที่สุดในโลกตั้งแต่เกิดในปี 2008 คือ
1. มาเก๊า ประเทศปกครองพิเศษ ของจีนซึ่งคนไทยนิยมไปท่องเที่ยว โดยชาวมาเก๊ามีคนอายุเฉลี่ยที่ 84.33 ปี นับว่ามากที่สุดในโลก
2. ประเทศอันดอร์รา ประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในทวีปยุโรปติดกับสเปนและฝรั่งเศส มีคนอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 82.67 ปี
3. ประเทศญี่ปุ่น มีคนอายุเฉลี่ยที่ 82.07 ปี เห็นได้ว่า คนเอเซียของเราอายุค่อนข้างยืนกว่าชาวตะวันตกซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก

มาดูประเทศไทยของเรากันบ้างครับ จากสถิติบอกว่า ประเทศไทย อยู่ที่อันดับ 111 มีคนอายุเฉลี่ย 72.83 ปี ส่วนประเทศที่มีคนอายุเฉลี่ยน้อยที่สุดในโลก คือ ประเทศสวาซิแลนด์ ที่ตั้งอยู่แถบแอฟริกาใต้ ระหว่างประเทศแอฟริกาใต้และโมแซมบิค มีคนอายุเฉลี่ยแค่ประมาณ 31.99 ปีเท่านั้นเอง

ทำอย่างไรจึงเลิกสูบบุหรี่ได้

ขอวิธีที่ได้ผลที่สุดนั้นก้อคือ การให้นิโคตินทดแทน นิโคตินทดแทนอาจจะมาในรูปของหมากฝรั่ง แผ่นแปะผิวหนัง ยาพ่น ยาสูด และลูกอม นิโคตินทอแทนนี้ดีกว่าการสูบบุหรี่เนื่องจากมีแต่นิโคติน ไม่มีการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ อีกมากมายที่มากับควันบุหรี่
คนสูบบุหรี่ส่วนใหญ่เลิกสูบบุหรี่ไม่ได้เพราะว่าอาการถอนนิโคตินนั้นยากมาก การให้สารนิโคตินทดแทนสามารถลดอาการถอนได้ดี และสามารถใช้ได้ทันทีที่เลิกสูบบุหรี่โดยไม่ต้องทิ้งระยะ
แม้ว่ามีคนส่วนใหญ่สามารถเลิกสูบได้โดยการหยุดสูบเฉย ๆ โดยใช้พลังใจที่แข็งแกร่งช่วยฝืน แต่คนส่วนใหญ่ต้องทำอยู่หลายครั้งจึงจะสำเร็จ บางคนสูบแล้วหยุด แล้วสูบใหม่ประมาณ 8-10 ครั้ง ดั้งนั้นถ้าคุณเลิกสูบบุหรี่แล้วมีอันต้องกลับไปสูบใหม่ก้ออย่าเพิ่งท้อแท้ไป มีคนอีกหลายคนทำไม่ได้เหมือนกับคุณ พยายามทำใหม่ โดยใช้นิโคตินทดแทนช่วย จะทำให้เลิกสูบบุหรี่ง่ายและยั่งยื่นขึ้น

ทำไมบุหรี่จึงเลิกยาก?

คำตอบคือ ในควันบุหรี่มีสาร “นิโคติน” ซึ่งเป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์แรงเทียบเท่าเฮโรอีนหรือโคเคน เมื่อสูบไปสักระยะหนึ่งคนเราจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจไปในทางติดยา
เมื่อเราสูบบุหรี่นิโคตินจะผ่านปอดเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้มีผลต่ออวัยวะและระบบต่าง ๆ มากหลาย มีผลต่อหัวใจ หลอดเลือด สมอง ระบบต่อมไร้ท่อ และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกาย นิโคตินสามารถกระจายไปสู่น้ำนมแม่ทำให้มีผลต่อลูก ทั้งยังสามารถผ่านรกไปสู่ทารกในครรภ์
นิโคตินเมื่อเข้าสู่สมองแล้วจะมีผลต่อการทำงานของระบบประสาท ทำให้เกิดความรู้สึกชื่นมื่น ทำให้ติด ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือยิ่งเสพยิ่งมีความต้องการมากขึ้น พอถึงระดับหนึ่งคนติดบุหรี่ก็จะต้องสูบบุหรี่ให้มากพอที่จะรักษาระดับนิโคตินนี้เอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดอาการถอนยา
อาการถอนนิโคตินมีทั้งอาการทางกายและทางจิตดังนี้ เวียนหัว ซึมเศร้า อัดอั้นตันใจ ไม่อดทน โกรธง่าย วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย การนอนหลับผิดปกติ เช่น นอนไม่หลับ ตื่นแล้วงัวเงียไม่ยอมหาย ฝันร้าย ขาดสมาธิ ปวดหัว อ่อนเพลีย หิวอาการมากขึ้น
อาการถอนเหล่านี้เองที่ทำให้เลิกบุหรี่ยาก หลายคนกลับไปสูบใหม่เพราะทนอาการไม่ได้ การเลิกบุหรี่จึงต้องมีการวางแผนในการค่อย ๆ ลดระดับของนิโคตินในเลือดลงมาเพื่อให้เกิดอาการถอนไม่มาก ร่วมกับการรักษาทางจิต และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการกลับไปสูบบุหรี่อีก

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เรื่อง เลนส์ (ตอนที่ 3)

ครั้งก่อนเราพูดกันถึงลักษณะการทำงานคร่าวๆของเลนส์กันคร่าวนี้เรามาดูชนิดต่างๆของเลนส์กันดีกว่าค่ะ

โดยปกติแล้ว เราสามารถแบ่งเลนส์ออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้ค่ะคือ:


เลนส์เดี่ยว (Single lens) คือเลนส์ที่ fix ช่วงเลนส์ค่ะ เช่น 20มม. 50มม.

เลนส์ซูม (Zoom leans) คือเลนส์ที่สามารถซูมได้ตามช่วงเลนส์นั้นๆค่ะ ซึ่งจะแบ่งออกได้หลางช่วงเลนส์คังนี้ค่ะ


เลนส์มาตรฐาน ( Standard Lens or Normal lens) เป็นเลนส์ที่มีคุณสมบัติใช้ถ่ายภาพทั่วๆไป ลักษณะภาพที่ได้จะเหมือนกับที่ตาคนมองดูทั่วไป เป็นเลนส์ขนาดความยาวโฟกัสประมาณ 50 มม.ค่ะ


เลนส์ถ่ายไกล (Telephoto Lens) เป็นเลนส์เหมือนกล้องส่องทางไกลค่ะ คือเป็นเลนส์ที่มีความยาวของโฟกัสยาวกว่าเลนส์ธรรมดา ทำให้มุมการถ่ายภาพแคบลง คือพูดง่ายๆว่าทำหน้าที่ขยายภาพที่อยู่ไกลให้โตขึ้น เสมือนหนึ่งที่ไปตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับวัตถุที่ถ่าย สะดวกในการถ่ายภาพสิ่งที่อยู่ไกลๆค่ะ หรือผู้ถ่ายไม่สามารถเข้าไปตั้งกล้องในระยะใกล้ ๆ กับวัตถุนั้นได้ เช่น การถ่ายภาพสงคราม การแข่งกีฬา การถ่ายภาพนก เช่น เลนส์ที่ขนาดความยาวโฟกัสมากกว่า 135 มม. ขึ้นไปค่ะ


เรื่อง เลนส์ (ตอนที่ 2)

ต่อจากคราวที่แล้วเรามาพูดถึงทางยาวโฟกัสกันต่อค่ะ ความยาวของโฟกัสของเลนส์มีผลต่อการถ่ายภาพ  2 อย่างด้วยกันคือ:


1. ทำให้มุมของภาพ กว้างหรือแคบได้
2. ทำให้ช่วงความชัดมีมากหรือน้อยลงได้ 


อ่อ..อีกอย่างหนึ่งค่ะที่มีผลต่อความแตกต่างของเลนส์งคือ   รูรับแสง (Aperture)  เลนส์ที่มีรูรับแสงที่มีตัวเลขต่ำๆ จะเป็นเลนส์ที่ไวแสงมากกว่าที่มีตัวเลขสูงๆ  ตัวเลขนี้เป็นตัวเลข “F” นัมเบอร์ที่อยู่บนหน้าเลนส์ ตัวเลขนี้จะเขียนอยู่หน้าเลนส์คู่กับทางยาวของโฟกัส เช่น เลนส์มาตรฐาน F/1.4 50 มม. 


ขนาดของช่องรูรับแสงของเลนส์ จะบอกได้ว่าเลนส์ตัวนั้นสามารถเปิดรูรับแสงได้กว้างเท่าไหร่
โดยจะมีผลต่อการถ่ายภาพ 2 ประการคือ:

ทำให้แสงสว่างผ่านเลนส์เข้าไปในกล้องได้มากขึ้น ทำให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ได้สูงขึ้น

2.    การตั้งช่องรับแสงเล็กจะได้ภาพที่มีช่วงความชัดมาก ในทางตรงกันข้ามถ้าตั้งช่องรับแสงขนาดใหญ่
ภาพที่ได้ช่วงความชัดจะน้อยลงไป


 ( ค่า F ต่ำๆนั้นหมายความว่า สมมุติเวลาที่เราจะถ่ายรูปคนๆนึ่ง เราก็จะโฟกัสไปที่คนๆนั้น ภาพที่ออกมาคนที่เพื่อนๆถ่ายจะชัด แต่ฉากหลังที่ได้จะมีลักษณะเบลอๆค่ะเพราะฉะนั้นค่า F ยิ่งต่ำก็จะทำให้ได้ความเบลอเยอะเท่านั้นค่ะหรือที่ช่างภาพชอบใช้กันว่า ฉากหลังละลายนั้นเองค่ะ)